ที่ประชุมรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจค่ำวันนี้เห็นชอบในเบื้องต้นมาตรการลดผลกระทบค่าพลังงาน มาตรการเสริมรายได้และเพิ่มค่าครองชีพให้กับประชาชน เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันพรุ่งนี้ โดยคาดว่ามาตรการต่าง ๆ ดังกล่าวที่จะทยอยนำออกมาใช้จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยในปี 51 ขยายตัวได้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เชื่อว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ของไทยในปีนี้น่าจะมีการเติบโตที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ แม้ขณะนี้จะมีปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อ GDP คือ ปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปัญหาการเมือง
กรณีที่นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ระบุว่าความเชื่อมั่นของภาคเอกชนมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจนั้นตนเห็นด้วยในส่วนนี้ เพียงแต่ยังเชื่อว่ามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลนำออกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย การบรรเทาภาวะค่าครองชีพจะมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจโตขึ้นได้
"ถ้ามีมาตรการที่ช่วยลดผลกระทบด้านพลังงาน มาตรการเพิ่มรายได้ให้กลุ่มผู้ยากจน อัตราค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น เราน่าจะสามารถผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจสืบเนื่องต่อไปได้ เพราะผมเองก็อยากเห็นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจมากกว่าเงินเฟ้อ" นพ.สุรพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุม
วันนี้ สศช.แถลง GDP ไตรมาส 1/51 ขยายตัวที่ 6.0% อัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 5.0% ในขณะที่คาดว่า GDP ทั้งปี 51 จะขยายตัว 4.5-5.5% และอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 5.3-5.8%
*เร่งรัดขยาย NGV-อี 85
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า มาตรการที่สำคัญที่ได้มีการพิจารณา คือ มาตรการประหยัดพลังงานหลายรูปแบบ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการนำพลังงานทดแทนมาใช้แทนน้ำมัน โดยเฉพาะก๊าซ NGV และ เบนซิน E85 รวมทั้งการกำหนดบทบาทภาครัฐเป็นตัวนำร่องดำเนินมาตรการต่างๆ
ทั้งนี้ ในส่วนของ NGV ได้มีการปรับเป้าหมายในการจัดตั้งสถานีบริการ NGV เพิ่มจาก 185 แห่งเป็น 335 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้, ขยายเวลาลดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ NGV ซึ่งจะสิ้นสุดลงภายในปีนี้ออกไปอีก 4 ปี(52-55) และจะผลักดันให้มีการนำเข้าถังบรรจุ NGV ราคาประหยัดออกมาจำหน่าย ขณะนี้จีนได้ตอบรับในการส่งถังที่มีราคาประมาณ 3 หมื่นบาทเข้ามาจำหน่าย โดยจะมีข้อสรุปภายใน 1 เดือน
พร้อมกันนั้น จะจัดทำโครงการนำร่องให้รถยนต์ของหน่วยงานราชการทยอยปรับเปลี่ยนใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง, ตั้งเป้าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ NGV ให้กับแท็กซี่ 42,750 คันภายในปีนี้, ปรับเปลี่ยนรถโดยสารของหน่วยราชการให้มาใช้ NGV ทั้งหมดให้เร็วสุด, คงราคาจำหน่าย NGV ไว้ที่ 8.50 บาท/กิโลกรัมอย่างน้อยภายในสิ้นปีนี้ หรือปรับขึ้นไม่เกิน 12 บาท/กิโลกรัม
สำหรับอี 85 ทางบางจากฯ และ ปตท.จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันเบนซิน อี 85 ในสถานีบริการ 30-50 แห่งภายใน 3-5 เดือน เร็วขึ้นกว่าเดิมที่กำหนดไว้ภายใน 2-3 ปี รวมทั้งได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตรถยนต์ 3 ค่าย คือ ฟอร์ด, จีเอ็ม, วอลโว่ ว่าภายใน 3-4 เดือนจะสามารถนำเข้ารถยนต์ที่ใช้ อี 85 จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายได้ และภายในระยะ 18 เดือนจะมีการเริ่มสายการผลิตในประเทศ
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง อี 85 นั้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างภาษีโดยรวมและโครงการอีโคคาร์
*เพิ่มรายได้ประชาชน-ดูแลราคาสินค้า
ด้านการเพิ่มรายได้นั้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ทางการจะเร่งรัดการใช้ประโยชน์จากงบ SML ให้เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและชุมชน, การจัดบริการซ่อมแซมเครื่องจักรอุปกรณ์และตรวจซ่อมให้กับชุมชน, พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเงินและขอบข่ายผู้ได้รับเบี้ยยังชีพแก่ผู้พิการและผู้สูงอายุ, ลดหย่อนภาษีให้กับภาคธุรกิจที่มีการฝึกอบรมแรงงาน
จัดทำโครงการตลาดนัดสินค้าประหยัดให้กับประชาชน ซึ่งกรมธนารักษ์จะเป็นผู้จัดหาสถานที่ผู้ราชพัสดุเพื่อเป็นทางออกให้ผู้ประกอบการรายย่อย, ดูแลราคาสินค้าเกษตรหน้าฟาร์มให้เกิดความเป็นธรรม, เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย,เพิ่มกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุน เช่น กิจกรรมประดับไฟแม่น้ำเจ้าพระยา
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--