(เพิ่มเติม) คกก.ระบบรางสั่งทบทวนกรอบวงเงินรถไฟฟ้าสายสีม่วง-น้ำเงินหลังต้นทุนสูง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 2, 2008 19:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          คณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันนี้ได้มีมติให้พิจารณาทบทวนกรอบวงเงินก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ( ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ภายหลังต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน เพื่อสะท้อนความเป็นจริง
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ในวันที่ 5 มิ.ย. นี้จะนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ , กรมบัญชีกลาง และ รฟม. เพื่อทบทวนกรอบวงเงินก่อสร้างทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ก่อนที่จะนำเสนอครม.ในวันอังคารหน้า (10 มิ.ย.)
"จากสภาพปัญหาเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องปรับตัวเลขกรอบวงเงินทั้งสายสีม่วง สีน้ำเงิน ยกตัวอย่างสายสีม่วง ตอนคิดราคาโครงการ ราคน้ำมันดีเซล 20 บาท/ลิตร แต่ตอนนี้ขึ้นไปถึง 38 บาท/ลิตรแล้ว รวมถึงราคาเหล็กต่างๆด้วยที่ประชุมฯจึงให้กลับทบทวนกรอบวงเงินอีกครั้งหนึ่ง" นายประภัสร์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ สำหรับงานโยธาในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ได้ปรับวงเงินก่อสร้างแล้วจาก 3.1 หมื่นล้านบาท เป็น 3.5 หมื่นล้านบาท หรือปรับขึ้นประมาณ 16% ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็ได้ปรับจาก 4.8 หมื่นล้านบาท เป็น 5.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%
แหล่งข่าวจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการเรื่องปรับโครงสร้าง ขสมก.โดยภายในเดือน พ.ค.52 จะให้มีการเปิดประมูลรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ระบบก๊าซธรรมชาติ(เอ็นจีวี) ผ่านระบบอีออกชั่นจำนวน 3,000 คัน เพื่อนำมาวิ่งบริการรถร้อนในปัจจุบัน และทยอยเปิดประมูลจนครบ 6,000 คัน ภายในปลายปี 52 สำหรับค่าโดยสารจะเก็บในอัตราเดียวคือ 15 บาทตลอดสาย
"หากสามารถดำเนินการได้ตามที่วางเป้าหมายไว้ ทาง ขสมก.จะสามารถลดการขาดทุนในปี 2562 ที่คาดว่าผลประกอบการจะติดลบ 1.4 แสนล้านบาท มาเป็นผลกำไร 30,000 ล้านบาท" แหล่งข่าว กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบการปรับโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น การเปิดให้มีการเช่ารถ, การพักหนี้, การเกษียณอายุพนักงาน, ระบบจำหน่ายตั๋วแบบอิเล็กทรอนิกส์ และนำระบบจีพีอาร์เอสมาใช้ในการเดินรถโดยสาร โดยผลประชุมดังกล่าวจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ