บริษัท ออโต้ดาต้า ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยของสหรัฐรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหรัฐช่วงเดือนพ.ค. 2551 ร่วงลง 10.7% จากระดับปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1,396,965 คัน นับเป็นสถิติที่ร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากธุรกิจที่ชะลอตัวลงของบริษัทรถยักษ์ใหญ่ 3 รายของสหรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น
ยอดขายรวมของบิ๊กทรี ซึ่งได้แก่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ คอร์ป ฟอร์ด มอเตอร์ และไครส์เลอร์ แอลแอลซี ดิ่งลง 23.4% เหลือ 620,761 คัน โดยส่วนแบ่งการตลาดของบิ๊กทรีก็ตกลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 44.4% โดยส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทบิ๊กทรีนี้ตกลงต่ำกว่า 50% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ความต้องการรถบรรทุกและรถที่ใช้แก็สของผู้บริโภคที่ร่วงลง ซึ่งถือเป็นสินค้าหลัก ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นส่งผลกระทบอย่างหนักกับบิ๊ก ทรี
ในบรรดาบิ๊กทรีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ ผู้นำตลาดอย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ ซึ่งยอดขายตกลง 27.6% แตะ 266,744 คัน โดยส่วนแบ่งการตลาดของจีเอ็มร่วงลงมาอยู่ที่ 19.1% หดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20% เป็นครั้งแรก
จีเอ็มได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะยกเลิกการผลิตรถที่โรงงาน 4 แห่งในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถปิคอัพ รถอเนกประสงค์ และรถบรรทุกขนาดกลางภายในปี 2553 หลังจากที่ยอดขายยานยนต์ขนาดใหญ่ซบเซา
ส่วนฟอร์ดมียอดขายตกลง 15.6% เหลือ 205,270 คัน และยอดขายไครส์เลอร์ อ่อนตัวลง 25.4% แตะ 148,747 คัน
ขณะที่บริษัทรถค่ายญี่ปุ่นยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการรถประหยัดพลังงานและรถเก๋งของที่แข็งแกร่งของผู้บริโภค
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--