เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในระหว่างการปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดว่า เขาเชื่อว่าสหรัฐคงจะไม่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงเกินกว่าจะควบคุมได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
"เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์เงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งในช่วงเวลานั้น สหรัฐต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากอัตราค่าแรงและดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ที่สูงลิ่ว" เบอร์นันเก้กล่าวในพิธีรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาในปีพ.ศ.2518
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรับมือกับความยากลำบากนานับประการ และสหรัฐมีศักยภาพมากกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า "มีข้อมูลบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในระยะยาว ซึ่งทำให้คณะกรรมการเฟดกังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และเฟดจะจับตาดูสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 3.5% ในช่วง 4 ไตรมาสที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ และสูงกว่าช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ถึง 2 เท่า"
การแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของเบอร์นันเก้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่หนุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และมีขึ้นหลังจากที่เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมในเมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน ว่า ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วกำลังตอกย้ำเศรษฐกิจให้อ่อนแอลงไปอีกและจะส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นด้วย การแสดงความคิดเห็นทั้ง 2 ครั้งนี้ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 24-25 สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--