"เบอร์นันเก้"มั่นใจสหรัฐใช้ยาแรงหนุนศก.ฟื้นได้ แม้อัตราว่างงานพุ่งแรง

ข่าวต่างประเทศ Tuesday June 10, 2008 10:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในที่ประชุมที่รัฐแมสซาชูเสท ว่า แม้อัตราว่างงานของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่เขาเชื่อว่าความเสี่ยงที่จะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้เข้าสู่ช่วงขาลงอย่างยั่งยืนนั้น ลดน้อยลงแล้ว 
เบอร์นันเก้กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 22 ปีที่ 5.5% ซึ่งถือเป็นระดับที่สร้างความกังวลในตลาด แต่เขามองว่ามาตรการอื่นๆที่เฟดและรัฐบาลสหรัฐได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้านี้ จะช่วยชดเชยปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจได้
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสหรัฐประกาศใช้มาตาการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินรวม 1.68 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการคืนภาษีและลดหย่อนภาษี ขณะที่เฟดกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้ง และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ
"แม้หลายฝ่ายมองว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 2 แต่ผมมั่นใจว่าความเสี่ยงที่จะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้เผชิญช่วงขาลงอย่างยั่งยืนนั้น ลดน้อยลงแล้ว และข้อมูลที่เฟดรวบรวมได้เมื่อเร็วๆนี้พบว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมและการจ้างงาน ได้รับผลกระทบในระดับปานกลางเท่านั้น" เบอร์นันเก้กล่าว
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ยอมรับว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงยังคงเป็นปัจจัยลบที่หน่วงเหนี่ยวการเติบโตของสหรัฐ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 139.12 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อไปอีกระยะหนึ่ง
"เฟดจับตาดูมุมมองของผู้บริโภค นักลงทุน และนักธุรกิจที่ต่างก็เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นอีก ซึ่งหากคนเหล่านี้มีความเชื่อว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น พวกเขาก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายไปในทิศทางที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ" เบอร์นันเก้กล่าว
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ และอาจจะตรึงดอกเบี้ยต่อไปจนถึงปลายปี อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นอีก ซึ่งอาจจะบีบให้เฟดต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หรือปีหน้า สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ