ผลสำรวจ Bloomberg/Los Angeles Times ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองได้รับความเดือดร้อนจากภาวะราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคหลายคนต้องหันมารัดเข็มขัดกันมากขึ้น
"สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมต้องเสียเงินเติมน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า" เจ.แอล. ฮาร์เดอร์ ชาวอเมริกันวัย 75 ปีกล่าว "เราไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อน หรือแม้แต่เดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องเลย"
อย่างไรก็ตาม ความเดือดร้อนข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ 7 ใน 10 ของผู้ที่ทำการสำรวจกล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเผชิญความเดือดร้อนทางการเงิน และกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาต้องปรับลดการใช้จ่ายมานานกว่า 6 เดือนท่ามกลางภาวะข้าวยากหมากแพงและภาวะที่ตลาดแรงงานมียอดผู้ตกงานเพิ่มมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือเป็นข่าวร้ายต่อระบบเศรษฐกิจ และการที่ผู้บริโภคปรับลดค่าใช้จ่ายจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากการใช้จ่ายผู้บริโภคนั้นคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP)
ด้านนักวิเคราะห์จากดอยช์ แบงก์ เอจี คาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจรายปีในสหรัฐอาจปรับตัวลดลง 0.50% หากผู้บริโภคปรับลดการใช้จ่ายและหันมาออมเงินกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ได้กล่าวติงนโยบายด้านพลังงานของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชของสหรัฐที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 35% เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งราว 3 ใน 10 ชี้ว่า บุชต้องแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะที่ 25% มองว่าบริษัทน้ำมันควรเป็นผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วน 13% โยนความผิดให้กลุ่มนักเก็งกำไร และมีเพียง 9% เท่านั้นที่ชี้ว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันและโอเปคควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการแก้วิกฤติน้ำมันแพง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--