เมอร์ริล ลินช์ชี้เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) บริษัทรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐจำเป็นต้องระดมทุนเป็นวงเงินสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีความเป็นไปได้ที่จีเอ็มจะล้มละลาย หากตลาดรถยนต์ของสหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
จอห์น เมอร์ฟี นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) โดยระบุว่าจีเอ็มจำเป็นต้องระดมทุนถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการประเมินของนักวิเคราะห์เมอร์ริล ลินช์ ส่งผลให้ราคาหุ้นจีเอ็มดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 54 ปี
"ผมคาดว่ายอดขายรถยนต์ในตลาดสหรัฐจะทรุดตัวลงไปจนถึงปี 2552 ซึ่งจะบีบให้จีเอ็มต้องระดมทุนเพิ่ม และมีความเป็นไปได้ที่จีเอ็มจะประสบภาวะล้มละลายหากตลาดรถยนต์สหรัฐทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง" เมอร์ฟีกล่าว หลังจากปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นจีเอ็มลงสู่ระดับ "underperform'' จากเดิมที่ระดับ "buy"
การประเมินของเมอร์ฟีมีขึ้นหลังจากบริษัทจีเอ็มซึ่งมีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ยอดขายรถยนต์เดือนมิ.ย.ของจีเอ็มร่วงลง 18% เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ปิคอัพและรถยนต์อเนกประสงค์ลดลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์เชื่อว่า จีเอ็มซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของสหรัฐอาจต้องระดมทุนเป็นวงเงินสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้นที่ 8 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม เรเน่ ราชิด-เมเร็ม โฆษกของจีเอ็มกล่าวว่า "จีเอ็มมีสภาพคล่องและมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากพอที่จะรองรับสถานการณ์ด้านเงินทุนในปี 2551 ได้ ถึงกระนั้นก็ตาม จีเอ็มอาจพิจารณาเรื่องการลดต้นทุนในเชิงโครงสร้าง รวมถึงการขายสินทรัพย์ในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก"
จีเอ็มระบุว่า บริษัทวางแผนที่จะลดการผลิตรถยนต์ที่โรงงานในอเมริกาเหนือในไตรมาสนี้ลงประมาณ 12% เหลือเพียง 900,000 คัน ซึ่งการลดปริมาณการผลิตก็จะทำให้รายได้ของบริษัทลดลงด้วย พร้อมกล่าวว่าเหตุการณ์ประท้วงที่โรงงานของซัพพลายเออร์รายใหญ่ของจีเอ็มและที่โรงงานของจีเอ็มเองอีก 2 แห่งในสหรัฐ ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ทรุดตัวลงถึง 27% ในไตรมาสที่แล้ว
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐลงเหลือ 14.3 ล้านคันในปีนี้ จากระดับ 14.8 ล้านคัน และปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในปีหน้าลงเหลือ 14 ล้านคัน จากระดับ 15.3 ล้านคัน
จีเอ็มเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของจีเอ็มในประเทศจีนชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยโจเซฟ เหลา รองประธานจีเอ็ม ไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ของจีเอ็มมีการขยายตัวเพียง 14% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แตะระดับ 590,000 คัน เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการขยายตัว 19%
จีเอ็มซึ่งไม่สามารถทำกำไรรายปีได้เลยตั้งแต่ปี 2547 เนื่องจากอุปสงค์ในอเมริกาเหนือร่วงหนัก กำลังหวังพึ่งพายอดขายรถในจีนและอินเดีย แต่อัตราการแข่งขันในจีนกลับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังโฟล์คสวาเกน เอจี, โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป และผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นต่างเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาแย่งส่วนแบ่งในตลาด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ข่าวความเป็นไปได้ที่จีเอ็มจะล้มละลายได้สร้างความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 166.75 จุด หรือ 1.46% ปิดที่ 11,215.51 จุด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--