นายคาร์ลอส โคห์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเรโนลท์ เอสเอ คาดการณ์ว่า จะมีการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์มีมูลค่าต่ำเกินไปในขณะนี้
กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์นับตั้งแต่บริษัทเรโนลท์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศส ไปจนถึงบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 ของโลก ได้รับผลกระทบจากผลกำไรที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากราคาเหล็กและราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงกำลังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท และยังบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ข้อมูลจาก Global Financial Data ของสหรัฐระบุว่า เมื่อเร็วๆนี้ราคาหุ้นจีเอ็มร่วงลงต่ำกว่าระดับ 10 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2497 ขณะที่ราคาหุ้นเรโนลท์ดิ่งลง 55% จากระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นายโคห์นกล่าวว่า "ต้นทุนในการซื้อเหล็กมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 1 พันล้านยูโร หรือ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จะผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ไปให้กับผู้บริโภค และคาดว่าต้นทุนด้านวัตถุดิบจะพุ่งขึ้นอีกภายในปีหน้า"
เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐรายงานยอดขายรถยนต์ที่ทรุดตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างหนัก โดยยอดขายรถยนต์ของจีเอ็มร่วงลง 18.5% แตะระดับ 265,937 คัน เมื่อเทียบกับยอดขายเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วที่ 326,300 คัน ขณะที่ยอดขายของ ฟอร์ด มอเตอร์ ดิ่งลง 28.1% แตะระดับ 174,091 คัน จากเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วที่ระดับ 242,029 คัน
ยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในสหรัฐของบริษัทเดมเลอร์ เอจี ลดลง 0.1% สู่ระดับ 19,576 คันในเดือนมิ.ย. ขณะที่ยอดขายรถยนต์ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ร่วงลง 21.4% ส่วนยอดขายของบริษัทมาสด้า นอร์ธ อเมริกา ออเพอเรชันส์ ร่วงลง 7.7% แตะระดับ 23,771 คัน
อลัน บอม นักวิเคราะห์จากบริษัทแพลนนิง เอดจ์ ในรัฐมิชิแกน กล่าวว่า "ยอดขายรถยนต์ที่ทรุดตัวลงในสหรัฐสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นในยามที่ราคาน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นแตะระดับ 4 ดอลลาร์/แกลลอนและเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ตัวเลขการซื้อรถยนต์ลดน้อยลง" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--