มาร์ค ฟาเบอร์ กูรูการลงทุนชื่อดังระดับโลกซึ่งเคยแนะนำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กก่อนช่วง Black Monday ในปีพ.ศ.2530 กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกใกล้จะตกอยู่ในภาวะที่ "ไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้"
"ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มร่วงลงแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลแม้ความต้องการพลังงานในเอเชียจะยังสูงขึ้น ส่วนตัวผมกำลังให้ความสนใจเข้าลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในอินเดียและกัมพูชา" ฟาเบอร์ ซึ่งเป็นผู้ตีพิมพ์นิตยสารการลงทุน Gloom, Boom and Doom Report กล่าวในที่ประชุมนักลงทุนซึ่งจัดขึ้นที่นครซิดนีย์วันนี้
"เศรษฐกิจโลกอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2544 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดระบบทุนนิยมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อเศรษฐกิจโลกมาถึงจุดสิ้นสุด ทุกประเทศย่อมได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด" เขากล่าว
ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนักในปีนี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายลดลงไปเกือบ 12 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สถาบันการเงินทั่วโลกต้อระดมทุนกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์เนื่องจากขาดทุนในตลาดสินเชื่อ และนักลงทุนต่างวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังถดถอย ท่ามกลางราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงช่วงขาลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นในครั้งนั้นส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงกว่า 10 ดอลลาร์ จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ ฟาเบอร์กล่าวต่อที่ประชุมในวันนี้ว่า เขาให้ความสนใจลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่าตลาดหุ้นหรือตลาดล่วงหน้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาน้ำมัน ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลีทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ หลังจากมีข่าวว่ารายได้ของประชาชนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารแมคควอรี กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของออสเตรเลียระบุว่า ความต้องการอาหารทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จำพวกพืชผล พุ่งขึ้นด้วย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--