บมจ.ปตท.(PTT)คาดว่า ในปี 51 ต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีกว่า 5 แสนตัน และในปี 52 จะต้องนำเข้าเพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านตัน หากความต้องการในภาคขนส่งยังเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องแบกรับส่วนต่างราคากว่า 600 ดอลลาร์/ตัน
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า แนวโน้มการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากปีก่อนอยู่ที่ 3 ล้านตัน เพิ่มเป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นถึง 14.2% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึง 22.7%
ดังนั้น คาดว่าปีนี้ ปตท. จะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมากกว่า 5 แสนตัน โดยในเดือน เม.ย.นำเข้าในปริมาณ 22,000 ตัน แต่ช่วงเดือน ก.ค.นำเข้ามาถึง 109,800 ตัน และตั้งแต่เดือน ส.ค.จนถึงสิ้นปีน่าจะต้องนำเข้าเดือนละ 88,000 ตัน ส่งผลให้ทั้งปีจะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมากกว่า 549,800 ตัน และปีหน้าคาดว่าจะต้องมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีกว่า 1 ล้านตัน
สำหรับการนำเข้าก๊าซแอลพีจีแต่ละครั้ง ปตท. ต้องนำเข้าในราคาตลาดโลก คือ ประมาณตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รัฐกำหนดให้ราคาขายในประเทศอยู่ที่ประมาณตันละ 332 ดอลลาร์ซึ่งรัฐจะสนับสนุนส่วนต่างประมาณกว่า 600 ดอลลาร์
กรณีที่มีนักวิชาการอ้างว่าไม่พบข้อมูลการนำเข้าแอลพีจีในเว็บไซต์ของกรมศุลกากรนั้น ปตท.ชี้แจงว่า การนำเข้าก๊าซแอลพีจีจะนำเข้ามาในรูปแบบของก๊าซปิโตรเลียมเหลวโพรเพนและบิวเทน เพื่อความปลอดภัยในการขนส่งและสูบถ่าย นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งอีกด้วย
ส่วนการอ้างถึงตัวเลขการส่งออกก๊าซแอลพีจีไปต่างประเทศช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณ 20,000 ตัน เป็นตัวเลขการส่งออกให้กับประเทศมาเลเซีย กัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการส่งออกในราคาตลาดโลกบวกค่าดำเนินการ
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--