สตาร์บัคส์ คอร์ป ผู้ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดในโลก จะปิดร้านสาขาในออสเตรเลียเป็นสัดส่วนถึง 3 ใน 4 ภายในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ ถือเป็นการปลีกตัวออกจากตลาดที่สตาร์บัคส์ได้เข้ามาชิมลางเมื่อ 8 ปีก่อน
โฮเวิร์ด ชูลท์ซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ ให้เหตุผลของการปิดร้านสาขาในออสเตรเลียว่าเป็นเพราะบริษัทเผชิญกับปัญหาเฉพาะตัวในออสเตรเลียซึ่งไม่เหมือนกับที่บริษัทพบเจอในตลาดอื่นๆ โดยยืนยันว่าธุรกิจของบริษัทในตลาดต่างประเทศยังคงเข้มแข็ง
การตัดสินใจปิดร้าน 61 สาขาจากทั้งหมด 84 สาขาในออสเตรเลีย ถือเป็นการปิดสาขานอกสหรัฐครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก หลังจากที่บริษัทได้ประกาศปิดร้าน 600 สาขาทั่วสหรัฐเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลสืบเนื่องไปถึงการปลดพนักงานมากถึง 12,000 ตำแหน่งด้วย ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า การปิดสาขาในออสเตรเลียจะส่งผลกระทบต่อพนักงานเป็นจำนวนเท่าใด แต่สื่อคาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 685 ตำแหน่ง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สตาร์บัคส์เผชิญกับความท้าทายที่พบเฉพาะในออสเตรเลีย กล่าวคือออสเตรเลียมีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟสไตล์ยุโรปที่ฝังแน่นมานาน โดยจะสามารถพบเห็นร้านกาแฟสไตล์ยุโรปซึ่งมีรสชาติเข้มกว่าและมีราคาถูกกว่าได้ทั่วไปในออสเตรเลีย
ศาสตราจารย์ จอห์น โรเบิร์ตส อาจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า วัฒนธรรมการดื่มกาแฟและคุณภาพของกาแฟคือสิ่งที่สตาร์บัคส์จะต้องฝ่าฟันให้ได้ในออสเตรเลีย โดยสาเหตุที่สตาร์บัคส์ไม่ประสบความสำเร็จในออสเตรเลียก็คือ การที่ชาวออสเตรเลียมีรสนิยมการดื่มกาแฟรสเข้มแบบยุโรป ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมที่ชาวยุโรปอพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศจนกระทั่งฝังรากลึกในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สตาร์บัคส์จะยังคงเปิดให้บริการ 23 สาขาที่เหลือต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในสามเหมืองใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียอย่าง บริสเบน เมลเบิร์น และซิดนีย์
สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในออสเตรเลียเมื่อเดือนก.ค. 2543 ในย่านธุรกิจของซิดนีย์ ก่อนที่จะขยายสาขาไปในเมืองอื่นๆในเวลาต่อมา
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--