ผลกำไรของบริษัทเอกชนของสหรัฐในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาจร่วงลงหนักสุดในรอบ 10 ปี หลังจากที่วาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค และเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ปรับลดมูลค่าทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินเชื่อรวมเป็นมูลค่า 7.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าข้อมูลบริษัท 291แห่งที่ได้รายงานผลประกอบการรายไตรมาสเมื่อวานนี้บ่งชี้ได้ว่า ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น S&P500 ร่วงลง 24% จากปีก่อนหน้านี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของบริษัทเหล่านั้นจะทรุดตัวเพียง 11%
ผลกำไรของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการเงินทรุดฮวบลง 87% ซึ่งหนักกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 60% ขณะที่ภาวะราคาน้ำมันแพงได้ช่วยกระตุ้นให้บริษัทโคโนโคฟิลิปส์ และอ็อคซิเดนทัล ปิโตรเลียม คอร์ปมีตัวเลขผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ บริษัทน้ำมันที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น S&P500 รายงานตัวเลขผลกำไรที่พุ่งขึ้น 15%
"มี 2 ภาคธุรกิจที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด" เดิร์ก ฟาน ดิ๊ก ผู้อำนวยการประจำ Zacks Investment Research กล่าว "โดยภาคธุรกิจการเงินเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย ส่วนภาคธุรกิจน้ำมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทที่ร่วงลง 24% อาจเป็นตัวเลขที่ร่วงลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2541
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--