สถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (General Motors Corp.) และฟอร์ด มอเตอร์ โค (Ford Motor Co.) อาจฉุดรั้งให้ยอดขายยานพาหนะในสหรัฐประจำเดือนก.ค.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคเลี่ยงการใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันทางค่ายรถเองก็ไม่สามารถผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการ
ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากโพลล์สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า จีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์ แอลแอลซี อาจรายงานยอดขายที่ร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ผิดกับบริษัทฮอนด้า มอเตอร์ โค ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นที่อาจรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสถานการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เลวร้ายนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งรุนแรงอาจฉุดรั้งให้ตลาดยานยนต์ดิ่งลงมากขึ้น ทั้งนี้ ค่ายรถยนต์หลายแห่งมีแผนที่จะปรับลดข้อเสนอการเช่าซื้อรถเนื่องจากมูลค่าผลตอบแทนจากรถยนต์ที่ลดน้อยลงได้บั่นทอนให้อุปสงค์ปรับตัวลงตามไปด้วย
อีริค เมอร์เคล นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษา Crowe Chizek & Co. กล่าวว่า "ยอดขายยานยนต์ยิ่งได้รับแรงกดดันในช่วงขาลงเพิ่มมากขึ้น แต่ค่ายรถสามารถเสนอเงื่อนไขการชำระเงินรายเดือนที่ดึงดูดใจผ่านการทำสัญญาเช่าซื้อได้"
นักวิเคราะห์ 40 รายจากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่า ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐประจำเดือนก.ค. สอดคล้องกับยอดขายรายปีในเดือนมิ.ย.ที่ 13.6 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2536 อันเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังผ่านพ้นยุคเศรษฐกิจตกต่ำ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่ายอดขายรถของจีเอ็มอาจดิ่งลง 25% ขณะที่ยอดขายของฟอร์ดทรุดตัวลง 20% ส่วนยอดขายของไครสเลอร์ร่วงลง 27%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--