ริชาร์ด โบฟ นักวิเคราะห์จากบริษัทลาเดนเบิร์ก ธาลมานน์ ในกรุงนิวยอร์ก ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของวาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินช์ สำหรับปี 2551 ไปจนถึงปี 2553 โดยกล่าวว่า เมอร์ริล ลินช์อาจประสบความยากลำบากในการทำกำไรในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นเมอร์ริล ลินช์ ลงสู่ระดับ 25 ดอลลาร์ จากระดับ 30 ดอลลาร์
"เมอร์ริล ลินช์ ระดมทุนหลายพันล้านดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ ผ่านการออกหุ้นใหม่ ซึ่งทำให้เกิดข้อกังขาถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เป็นเรื่องยากที่จะตอบได้ว่าเมอร์ริล ลินช์จะกลับมาทำกำไรได้เมื่อใด เพราะรายได้หลักของบริษัทไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อนแล้ว" โบฟกล่าว
การแสดงความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากเดนเบิร์ก ธาลมานน์ มีขึ้นหลังจากนายจอห์น เธน ซีอีโอของเมอร์ริล ลินช์ ได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า เมอร์ริล ลินช์ จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในเร็วๆนี้ หลังจากบริษัทขาดทุนเกือบ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา
"ผมเชื่อว่าเราจะกลับมาทำกำไรได้อีก" เธนกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมอร์ริล ลินช์ประกาศระดมทุน 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐด้วยการขายหุ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ซีอีโอเมอร์ริล ลินช์ไม่ได้ระบุว่าระยะเวลาว่าบริษัทจะกลับมาทำกำไรได้เมื่อใด
ปัญหาในตลาดปล่อยกู้จำนองและการขาดทุนได้บีบให้เมอร์ริล ลินช์ ต้องระดมทุนเพื่อชดเชยการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เมอร์ริล ลินช์ ตัดสินใจระดมทุนด้วยการขายหุ้น โดยนายเธนกล่าวว่า "เรามีผู้ที่รอซื้อหุ้นของเมอร์ริล ลินช์อยู่จำนวนมาก มีทั้งที่ได้เจรจากันไปแล้วและกำลังเจรจา เราคงไม่รอจนถึงเดือนม.ค.ปีหน้า เพราะจะทำให้บริษัทตกอยู่ในความเสี่ยงและจะยิ่งทำให้มีการขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก"
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เมอร์ริล ลินช์ ประกาศว่า บริษัทจะขายสินทรัพย์บางส่วนที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรต่ำ และจะออกหุ้นใหม่เพื่อระดมทุนราว 8.5 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกล่าวว่า บริษัทอาจต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีลง 5.7 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากขาดทุนในตลาดปล่อยกู้จำนองและผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตการณ์สินเชื่อ สำนักข่าวเอพีรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--