นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังการเมืองไทยมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจากนี้ไปจะเป็นช่วงขาขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เช่น อาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีได้ ซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายอยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าได้ต่อ และจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้งเรื่องราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และการเมือง เชื่อว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ 6% เงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 7-8%
"การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กว่า 2 เดือน ถือว่ายาวนานกว่าปี 49 แล้ว และก็ไม่เห็นว่าจะมีความกังวลให้นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งรัฐบาลเอง ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ สังคม" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุ
จากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องราคาน้ำมันที่เริ่มมีทิศทางขาลงแล้ว จะช่วยลดแรงกดดันต่อการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ดังนั้นในปีนี้เชื่อว่าจะไม่เห็นอัตราเงินเฟ้อเป็นเลข 2 หลักอย่างแน่นอน และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายคงจะขึ้นได้ยาก โดยขณะนี้มีหลายประเทศที่ได้พิสูจน์แล้ว เช่น ยุโรปที่ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อกลับประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่สหรัฐฯ ไม่ขึ้นดอกเบี้ยแม้การคาดการณ์เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดก็ตาม
"ผมยังเชื่อว่าเงินเฟ้อที่มาจาก cost push การใช้มาตรการดอกเบี้ยมีผลน้อยมาก หรือมีผลตรงกันข้ามเพื่อแก้ไขปัญหา" นพ.สุรพงษ์ กล่าว
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ แต่การเมืองยังคงเดินหน้าไปตามระบอบประชาธิปไตยและยังมองไม่เห็นปัจจัยใดๆ ที่จะนำไปสู่การยุบสภา แม้อาจจะมีสมาชิกพรรคพลังประชาชนบางคนที่ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ใช่ต้นเหตุของการยุบสภา
พร้อมยืนยันด้วยว่าการออก "6 มาตรการ 6 เดือน" เพื่อเตรียมยุบสภาในอีก 6 เดือนหน้านั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งรัฐบาลยังต้องการทำงานต่อไปให้ครบ 4 ปี
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลยังเดินหน้าทำงานในเชิงรับ ทั้งปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินโลก วิกฤตด้านพลังงาน ซึ่งจะเห็นได้จากการออก 6 มาตรการ 6 เดือนมาเพื่อช่วยหลือประชาชนในการลดค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพ ระหว่างรอโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์
อย่างไรก็ดี รัฐบาลเตรียมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบต่อไป เพื่อช่วยเหลือในกลุ่มของคนจน, คนชั้นกลาง, ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจ SMEs
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) สรุปภาพรวมเกี่ยวกับโครงการเมกะโปรเจ็คต์ทั้ง 5 ด้าน เพื่อเตรียมจะสัมมนาครั้งใหญ่ 12-14 ก.ย.51 โดยคาดว่าในปี 52 จะมีเม็ดเงินลงทุนจากรัฐบาลในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ 5 ด้านราว 2 แสนล้านบาท
สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้านั้น ขณะนี้มีความชัดเจนเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้า 4 สายภายในปีนี้แล้ว โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ซองยื่นประกวดราคาไปแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ปลายปีนี้ ส่วนสายสีแดง ล่าสุดธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น(เจบิก) ได้ตอบรับเรื่องการให้เงินกู้แล้ว คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้จะหารือและทำข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการ ส่วนสายสีเขียว จะใช้เงินกู้ในประเทศ และสายสีน้ำเงิน อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องเงินกู้จากเจบิค
"จะเห็นว่ารถไฟฟ้าทั้ง 4 สาย มีความชัดเจนแล้ว ส่วนที่เหลือจะเริ่มดำเนินการหาผู้รับเหมาในปีหน้า ส่วนรถไฟรางคู่ เริ่มมีการพูดคุยกับตัวแทน โครงการน่าจะเริ่มได้ในปลายปีนี้เช่นกัน" นพ.สุรพงษ์ ระบุ
--อินโฟเควสท์ โดย คลฦ/กษมาพร/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--