เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาสสามมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญและการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ส่งผลให้ราคาหุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 ปี
เจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกนกล่าวว่า เจพีมอร์แกนปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ยังต่ำกว่าซิตี้แบงค์ที่ต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีเป็นวงเงินสูงถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ริชาร์ด โบฟ นักวิเคราะห์จากลาเดนเบิร์ก แอนด์ ธาลแมน กล่าวว่า "การขาดทุนของเจพีมอร์แกนสะท้อนให้เห็นว่าสถาบันการเงินใกล้เผชิญวิกฤตการณ์ที่รุนแรง สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัททุกแห่งไม่ว่าจะเป็นบริษัทใดก็ตาม" ทั้งนี้ โบฟได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของเจพีมอร์แกนลงสู่ระดับ 2.23 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากเดิมที่ระดับ 2.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น และปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นเจพีมอร์แกน ลงสู่ระดับ 39 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 43 ดอลลาร์
ข่าวการขาดทุนในไตรมาสสามของเจพีมอร์แกนเป็นปัจจัยลบที่ฉุดดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 139.88 จุด หรือ 1.19% ปิดที่ 11,642.47 จุดเมื่อคืนนี้
ส่วนในช่วงไตรมาสสอง ผลประกอบการของเจพีมอร์แกนมีอยู่ทั้งสิ้น 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 54 เซนต์/หุ้น ลดลง 53% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 4.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.20 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่กำไรลดลง 3% แตะระดับ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์
เจพีมอร์แกนยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการณ์สินเชื่อและตลาดปล่อยกู้จำนองเหมือนกับวาณิชธนกิจและธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ โดยนายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกนกล่าวว่า "ปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐยังคงมีอยู่ และเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มตลาดปล่อยกู้จำนองจะฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ได้หรือไม่ เราคาดว่าตัวเลขขาดทุนในภาคการเงินจะทรุดตัวลงรุนแรงถึง 3 เท่า"
ไดมอนคาดการณ์ว่า สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะอ่อนแอลงอีกและคาดว่าตลาดทุนจะยังคงเผชิญแรงกดดัน ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปีนี้หรืออาจจะถึงปีหน้า สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--