ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: วิตกปัญหาภาคการเงิน ฉุดดอลล์ร่วงเทียบสกุลเงินหลักๆ

ข่าวต่างประเทศ Friday August 22, 2008 07:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐ รวมถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐจะรวบกิจการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค มาเป็นของรัฐ และข่าวคาดการณ์ที่ว่าผลประกอบการของวาณิชธนกิจรายใหญ่จะทรุดตัวลง นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐและราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์ นับเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับ 108.49 เยน/ดอลลาร์ จากวันพุธที่ระดับ 109.79 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงแตะระดับ 1.0870 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0997 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4888 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพุธที่ 1.4742 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ 1.8767 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.8616 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.7204 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7120 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.8790 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8732 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
เดวิด โซลิน นักวิเคราะห์จาก ฟอเรนจ์ เอ็กซ์เชนจ์ อนาไลติก ในรัฐคอนเน็กติกัต กล่าวว่า "ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่พุ่งขึ้นรุนแรงถึง 5.62 ดอลลาร์ แตะที่ 121.18 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงระหว่างจอร์เจียและรัสเซียยังคงยืดเยื้อ จนล่าสุดรัสเซียประกาศระงับความร่วมมือทางทหารกับองค์การนาโต้ เพื่อท้าทายคำขู่ของสหรัฐที่ว่า หากรัสเซียไม่ถอนทหารออกจากจอร์เจีย นาโต้และประเทศสมาชิกจะไม่ให้ความร่วมมือทางทหารกับรัสเซีย"
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินนับตั้งแต่นิตยสารบาร์รอนรายงานว่า หากแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งใหม่ ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มทุนด้วยตัวเอง ด้วยนำเงินของผู้เสียภาษีมาซื้อหุ้นทั้งหมดของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค และรวบกิจการทั้งหมดมาเป็นของรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
นอกจากนี้ ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของวาณิชธนกิจรายใหญ่ในสหรัฐ หลังจากวิลเลียม ทาโนนา นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า เลห์แมน บราเธอร์ส จะขาดทุนอย่างหนักถึง 2.5-3.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม และเชื่อว่าการที่ภาคการเงินของสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นได้นั้นยังคงต้องเวลาอีก 2-3 ไตรมาส
ทาโนนายังปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสสามและผลประกอบการตลอดปีพ.ศ.2551 ของเมอร์ริล ลินช์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และมอร์แกน สแตนลีย์ โดยคาดว่าวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีโดยรวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว และส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งขาดทุนหนักสุดเป็นประวัติการณ์
ก่อนหน้านี้ เคนเนธ โรจอฟฟ์ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด กล่าวว่า วิกฤติการเงินโลกยังไม่ผ่านพ้นภาวะเลวร้ายที่สุด และเตือนว่าธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐจะล้มละลายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.ร่วงลง 0.7% แตะระดับ 101.2 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2547 และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยับลงเพียง 0.2%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ