นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยในคืนนี้นั้น จะร่วงลงอีก 0.9% แตะระดับ 525,000 ยูนิต/ปี เนื่องจากสถาบันการเงินใช้มาตรการเข้มงวดในการปล่อยเงินกู้และเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
สตีเฟน วิทติ้ง นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ป โกลบอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "การที่ธนาคารพาณิชย์ขาดทุนจำนวนมากในตลาดซับไพรม์ส่งผลให้ธนาคารหลายแห่งชะลอการปล่อยวงเงินกู้และขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง แม้ราคาบ้านปรับตัวลงและเป็นโอกาสที่ผู้บริโภคจะเข้าซื้อก็ตาม ยอดขายบ้านที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมาถึงจุดวิกฤติที่สุด และคาดว่าจะลุกลามต่อไปอีกจนถึงปีหน้า"
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ประจำเดือนมิ.ย.ลดลง 0.6% แตะที่ระดับ 530,000 ยูนิต แต่ยังลดลงไม่มากเท่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่นักวิเคราะห์โพลล์บลูมเบิร์กคาดว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.จะร่วงลง 1.3% เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยที่อาศัยทรุดตัวลงติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ซึ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงและส่งผลให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคธุรกิจปรับตัวลดลงด้วย
เดวิด เรสเลอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทโนมูระ ซิเคียวริตีส์ อินเตอร์เนชั่นแนลในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ตลาดที่อยู่อาศัยทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อและตลาดการเงินได้ลุกลามเข้าไปกระทบเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน นอกจากนี้คาดว่าราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นและความต้องการที่ลดน้อยลงจะส่งผลให้บริษัทเอกชนลดอัตราการลงทุนเพื่อไม่ให้ผลกำไรโดยรวมทรุดตัวลง"
"ภาวะผันผวนในตลาดการเงินและกฏข้อบังคับด้านการปล่อยกู้ซื้อบ้านที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้านลำบากขึ้น กลุ่มบริษัทที่ผลิตวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รวมถึงกลุ่มเจ้าของบ้านต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า" เรสเลอร์กล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--