ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด และราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างหนัก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.4700 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพุธที่ 1.4720 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 1.8294 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.8347 ดอลลาร์/ปอนด์
ดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.52 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 109.54 เยน/ดอลลาร์ แต่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0990 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0975 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 0.7014 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7014 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 0.8615 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8582 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสสอง ขยายตัวขึ้นในอัตรา 3.3% ต่อปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่มีการประเมินในเบื้องต้น และขยายตัวดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวขึ้นเพียง 2.7%ต่อปี
กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า "จีดีพีไตรมาสสองที่ขยายตัวดีเกินคาดสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของยอดส่งออก ตัวเลขการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และตัวเลขการใช้จ่ายในภาครัฐ นอกจากนี้ ตัวเลขจีดีพีไตรมาสสองยังออกมาแข็งแกร่งกว่าที่กระทรวงได้ประเมินไว้เบื้องต้นที่ 1.9%"
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงแรงงานที่ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ร่วงลง 10,000 คน แตะระดับ 425,000 คน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3
แมทธิว สตรอส นักยุทธศาสตร์การลงทุนด้านปริวรรตเงินตราจาก RBC Capital Markets กล่าวว่า "นอกเหนือจากตัวเลขจีดีพีที่แข็งแกร่งเกินคาดแล้ว ดอลลาร์ยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงและตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่ง"
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลง 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 115.59 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ออกมาใช้หากพายุโซนร้อนกุสตาฟสร้างความเสียหายต่อฐานการผลิตน้ำมันและก๊าสธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งปัจจุบันคลังน้ำมันสำรองดังกล่าวมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--