โรงกลั่นน้ำมันในรัฐหลุยเซียน่าอาจต้องใช้เวลาถึง 10 วันจึงจะกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ หลังจากที่ต้องปิดทำการจากอิทธิพลของเฮอริเคนกุสตาฟที่ส่งผลให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ซึ่งหากโรงกลั่นเหล่านี้กลับมาผลิตน้ำมันได้ช้าเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลลบเนื่องจากเวลานี้คลังสำรองน้ำมันเบนซินในบริเวณอ่าวเม็กซิโกอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนแล้ว
มาราธอน ออยล์ คอร์ป, วาเลโร เอนเนอร์จี คอร์ป และผู้กลั่นน้ำมันรายอื่นๆ ซึ่งปิดโรงกลั่นขณะที่พายุกุสตาฟเคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดจากพายุได้ตอนนี้ โดยเอ็กซอน โมบิล คอร์ป ปิดโรงงานในบาตอง รูจ ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่อันดับสองของสหรัฐ หลังจากที่กระแสลมแรงได้พัดทำลายสายไฟ
แอนดี้ ลิพาว ประธานบ.ลิพาว ออยล์ แอสโซสิเอทส์ กล่าวว่า ราคาสัญญาน้ำมันเบนซิน ซึ่งร่วงลง 7.9% ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจดีดตัวขึ้นมาอีก เนื่องจากการขาดกระแสไฟฟ้าอาจทำให้รัฐหลุยเซียน่าฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้ล่าช้า โดยวาเลโร และรอยัล ดัตช์ เชลล์ เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่ต้องระงับการกลั่นน้ำมันดิบ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน 14% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐ
ทั้งนี้ หลุยเซียน่าเป็นรัฐที่กลั่นน้ำมันได้มากที่สุดเป็นอันดับสองของสหรัฐ และส่งเชื้อเพลิง 75% ที่ผลิตได้ไปยังรัฐอื่นๆ
"เรากำลังสูญเสียการผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลไปมากพอควร" ลิพาวกล่าว "เมื่อคนงานสามารถกลับมาประจำที่โรงกลั่นได้ตามปกติ ถ้าเป็นโรงกลั่นธรรมดา ก็น่าจะกลับมาผลิตได้ภายใน 3-5 วัน ขณะที่โรงกลั่นแบบครบวงจรอาจต้องใช้เวลา 5-10 วัน"
บลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาขายส่งน้ำมันเบนซินที่สถานีขนส่งเชื้อเพลิงในอ่าวเม็กซิโกไต่ขึ้น 8% ในสัปดาห์ก่อน แตะ 3.05 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดรายสัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการที่ทะยานขึ้นในหมู่ชาวเมืองที่อพยพหนีภัย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--