ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตและมีการรวบรวมข้อมูลก่อนวันที่ 25 ส.ค. ว่า เศรษฐกิจในทุกภูมิภาคของสหรัฐชะลอตัวลง เพราะได้รับแรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลบั่นทอนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคเอกชน
"กิจกรรมทางเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคชะลอตัวลงอย่างมาก โดยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ชะลอตัวลงในทุกภูมิภาค เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างผันผวน และความต้องการด้านบริการในภูมิภาคส่วนใหญ่ซบเซาลง" รายงาน Beige Book ของเฟดระบุ
"กิจกรรมด้านการผลิตทรุดตัวลงแทบทุกภาค จะมีก็แต่ที่เมืองมินนีอาโพลิสและแคนซัส ซิตี้เท่านั้น ที่ภาคการผลิตฟื้นตัวขึ้น ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทุกภาคยังคงชะลอตัวลง โดยเฉพาะยอดขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ นอกจากนี้ เฟดทุกสาขารายงานตรงกันว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงราคาน้ำมันและอาหาร เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง" เฟดกล่าว
รายงานการประชุมของเฟดเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ระบุว่า คณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่วิตกกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อจะยังคงเป็นปัจจัยคุกคามเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.พุ่งขึ้น 0.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.4% และเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ปีครึ่ง ซึ่งเป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.2%
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสสอง ขยายตัวขึ้นในอัตรา 3.3% ต่อปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่มีการประเมินในเบื้องต้น และขยายตัวดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวขึ้นเพียง 2.7%ต่อปี
เดวิด เรสเลอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทโนมูระ ซิเคียวริตีส์ อินเตอร์เนชั่นแนลในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อและตลาดการเงินได้ลุกลามเข้าไปกระทบเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน นอกจากนี้คาดว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นและความต้องการที่ลดน้อยลงจะส่งผลให้บริษัทเอกชนลดอัตราการลงทุนเพื่อไม่ให้ผลกำไรโดยรวมทรุดตัวลง"
"ภาวะผันผวนในตลาดการเงินและกฏข้อบังคับด้านการปล่อยกู้ซื้อบ้านที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้านลำบากขึ้น กลุ่มบริษัทที่ผลิตวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รวมถึงกลุ่มเจ้าของบ้านต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า" เรสเลอร์กล่าว
รายงาน Beige Book เป็นรายงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 16 ก.ย.นี้ โดยรายงานฉบับล่าสุดรวบรวมได้ก่อนวันที่ 25 ส.ค. ทั้งนี้ เฟดจะเปิดเผยรายงาน Beige Book ปีละ 8 ครั้ง สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--