องค์การที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) กล่าวว่า ความกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างและการยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจีน
"ที่ผ่านมานั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีน และทำให้จีนเผชิญความท้าทายในการปรับโครงสร้างด้านอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราค่าแรงที่สูงขึ้นยังส่งผลให้จีนเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันในตลาดส่งออก" หลี่ ยู่เฟิน ผู้อำนวยการด้านการเงินของอังค์ถัดกล่าว
ก่อนหน้านี้ ศูนย์รายงานการค้าและการพัฒนา (ทีดีอาร์) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตรา 2.9% ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วราว 0.9%
นายหลี่กล่าวว่า "ในช่วงกลางปีพ.ศ.2551 เศรษฐกิจโลกเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงนั้นมีอยู่มากมาย รวมถึงวิกฤตการณ์ด้านการเงิน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น และการที่หลายประเทศประกาศใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน ในขณะที่จีนเองต้องเผชิญกับภาวะผันผวนในตลาดหุ้น"
อย่างไรก็ตาม นายเดทเลฟ คอทเต เจ้าหน้าที่ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการพัฒนาประจำอังค์ถัดกล่าวว่า "แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวด้านการผลิตในนี้จะพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ราว 10% แต่ก็จะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันซึ่งอาจเป็นเหตุให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของจีนปรับโครงสร้างในภาคอุตสาหกรรม" สำนักข่าวซินหัวรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--