นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการองค์การที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(อังค์ถัด) ออกมาเตือนให้ระวังผลกระทบทางเศรษฐกิจใน 2 ด้าน คือ ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยปี 2552 คาดว่าวิกฤติสถาบันการเงินของสหรัฐจะลุกลามบานปลายมากขึ้น และคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวเหลือ 1% ส่วนเศรษฐกิจเอเซียจะเติบโตเหลือ 5-6% ซึ่งผลกระทบทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อและการชะลอตัวของศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น โดยเฉพาะหากไทยไม่มีพื้นฐานการลงทุนรองรับ
อีกปัจจัยที่ต้องติดตามว่า เงินเฟ้อยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นหรือไม่ ภายหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกและราคาสินค้าเกษตรปรับลดลง ซึ่งลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อไปแล้ว แต่หากเงินเฟ้อยังปรับสูงขึ้นจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการเงินเข้ามาดูแลต่อไปอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ให้ระวังการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หากมีการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากอาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้
"การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ เช่น ลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ควรจะทยอยลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ เพราะปัญหาเงินเฟ้อจาก Cost Push อาจจะลามไปถึงภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ได้ แต่ควรใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ใช้เม็ดเงินมาก เช่น การเพิ่มผลผลิต การส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ ในบาง Sector" นายศุภชัย กล่าว
เลขาธิการอังค์ถัด ยังสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ถูกต้อง เพราะขณะนี้ดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบอยู่มาก และอีกด้านเป็นการส่งเสริมภาคการออมมากขึ้น แต่หลังจากนี้ไป ธปท.ต้องรอดูผลของเงินเฟ้อว่าปรับลดลงหรือไม่ เพื่อเตรียมพร้อมใช้นโนยบายการเงินเข้ามาดูแล
สำหรับปัญหาการเมืองในประเทศ ยอมรับว่า อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนบ้าง ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างชาติว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และยังคงรักษาวินัยการเงินการคลัง
--อินโฟเควสท์ โดย จารุวรรณ ไหมทอง/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--