นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ชาวอเมริกันที่ตัดสินใจซื้อบ้านมือสองอาจมีจำนวนลดลงในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าราคาบ้านยังลดลงไม่มากพอที่จะดึงดูดให้ผู้บริโภคหันกลับมาซื้อบ้าน
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ยอดการทำสัญญาซื้อบ้านมือสองที่รอปิดการขาย (Pending Home Resale) อาจหดตัวลง 1.5% ในเดือนก.ค. หลังจากที่มีขยายตัว 5.3% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงจะถือเป็นการหดตัวลงเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากมาตรการการปล่อยกู้เพื้อซื้อบ้านที่เข้มงวดกว่าเดิม โดยอัตราเงินกู้ประเภทดอกเบี้ยคงที่ 30 ปีอยู่ที่ 6.29% ในเดือนก.ค. หรือเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 5.81% ในช่วงครึ่งแรกของปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจซื้อกิจการแฟนนี เม และ เฟรดดี แม็ค แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามช่วยให้ทั้งสองบริษัทสามารถปล่อยกู้ให้กับลูกค้าต่อไปได้ และถือเป็นการช่วยดึงไม่ให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงไปมากกว่านี้
"อัตราการยึดบ้านที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้มีบ้านว่างในตลาดมากขึ้น และทำให้ราคาบ้านลดลงในที่สุด" เดน่า ซาปอร์ตา นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Dresdner Kleinwort ในนิวยอร์ก กล่าว "แนวโน้มตลาดอาจดีขึ้นหลังราคาบ้านลดลงอย่างมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาพที่ดี"
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขยอดการทำสัญญาซื้อบ้านมือสองที่รอปิดการขาย ณ เวลา 10.00 น.ตามเวลาวอชิงตัน โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ระหว่างหดตัวลง 3.5% ถึงขยายตัว 2% สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--