บรรดานักวิเคราะห์ต่างแสดงทัศนะถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ระดับ 1.75% จากเดิมที่ 2% ในที่ประชุมวันที่ 16 ก.ย.นี้ หลังจากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังและเจ้าหน้าที่เฟดได้จัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงทางออกของเลห์แมน บราเธอร์ส ที่ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักถึง 3.9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ของปีนี้ และล่าสุดวาณิชธนกิจรายนี้ต้องประกาศยื่นขอความคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลาย
ขณะที่เมอร์ริล ลินช์ ประกาศขายกิจการให้กับแบงค์ ออฟ อเมริกา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในตลาดวอลล์สตรีทมองว่า อุตสาหกรรมการเงินในสหรัฐมาถึงจุดพลิกผันครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression ) จนส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียดิ่งร่วงลงถ้วนหน้า
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ด้วยว่า ทั่วโลกอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่มีอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงเช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินได้ฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสร้างแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางหลายประเทศเผชิญอุปสรรคในการใช้นโยบายทางการเงินเพื่อรับมือกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--