โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐที่ยังคงความเป็นอิสระในเวลานี้ เปิดเผยว่า กำไรไตรมาส 3 ของบริษัทร่วงลง 71% เหลือเพียง 810 ล้านดอลลาร์ จากไตรมาส 3 ของปีที่แล้วที่ 2.81 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตการณ์สินเชื่อยังคงสร้างความเสียหายต่อระบบการเงินสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ เป็นเพียง 2 วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่ยังคงความเป็นอิสราะในตลาดวอลล์สตรีท หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐยืนยันว่า บริษัทได้ยื่นขอความคุ้มครองทรัพย์สินตามกฎหมายล้มละลาย และแบร์ สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 5 ตัดสินใจขายกิจการให้เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค หลังจากที่แบร์ สเติร์นส์ ไม่สามารถดำเนินการตามข้อกำหนดของสถานบันการเงินผู้ปล่อยกู้และหลังจากลูกค้าแห่ถอนเงินสดออกไปเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ เมอร์ริล ลินช์ วาณิชธนกิจรายใหญ่อีกแห่งหนึ่งยังเผชิญปัญหาทางการเงินจนต้องขายกิจการให้กับแบงค์ ออฟ อเมริกา ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก
ลอยด์ ซี แบลงค์เฟน ประธานและซีอีโอโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า "ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่เราต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากลูกค้าลดการทำธุรกรรม และมูลค่าสินทรัพย์ก็ปรับตัวลดลงด้วย"
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นของบริษัทในรอบ 3 เดือนซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 29 ส.ค.อยู่ที่ 1.81 ดอลลาร์/หุ้น ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่ 6.13 ดอลลาร์/หุ้น อย่างไรก็ตาม กำไรต่อหุ้นของโกลด์แมน แซคส์ในไตรมาส 3 ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์โพลล์ธอมสัน ไฟแนเชียลคาดว่าจะอยู่ที่ 1.71 ดอลลาร์/หุ้น
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--