มอร์แกน สแตนลีย์ รายงานผลกำไรไตรมาส 3 ที่ลดลงเกินคาด เนื่องจากรายได้จากการขายหุ้นและสินทรัพย์ได้ช่วยลดผลกระทบจากยอดขาดทุนด้านวาณิชธนกิจและการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้คงที่
มอร์แกน สแตนลีย์รายงานในแถลงการณ์ว่า บริษัทมีรายได้ลดลง 3% แตะที่ระดับ 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.32 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในรอบ 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. จากระดับ 1.47 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.38 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ขณะที่นักวิเคราะห์จากโพลล์สำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่าผลกำไรจะร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 78 เซนต์ต่อหุ้น
จอห์น แมค ซีอีโอวัย 63 ปีของมอร์แกน สแตนลีย์ กำลังพยายามที่จะฟื้นฟูตลาดที่ดิ่งร่วงลงและเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมาหลังจากที่เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค ได้ขายกิจการให้กับแบงค์ ออฟ อเมริกา ขณะที่เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐที่ดำเนินงานมานานถึง 158 ปี ประสบภาวะล้มละลาย ทั้งนี้ ความปั่นป่วนวุ่นวายได้ทำให้นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า บรรดาวาณิชธนกิจหลายแห่งที่พึ่งพาการซื้อขายในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรจำเป็นต้องรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีระดับเงินทุนที่มีเสถียรภาพจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า
"เราเชื่อมั่นในรูปแบบการดำเนินธุรกิจการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของเรา" โคลม เคลเลเฮอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ "เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ตลาดเคลื่อนไหวตามกระแสข่าวลือและกระแสความหวั่นวิตกต่อสถานการณ์ทางการเงิน"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ที่สุดอันดับสองของสหรัฐลดลง 6.3% ไปอยู่ที่ระดับ 30.16 ดอลลาร์ก่อนหน้าที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ โดยในปีนี้ หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ดิ่งร่วงลงไปแล้ว 43%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--