ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เข้าพยุงกิจการบริษัท อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในตลาดการเงินได้ นอกจากนี้ ยังมีกระแสคาดการณ์ว่าอาจมีสถาบันการเงินรายอื่นๆที่ประสบปัญหามากขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับ 104.55 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 105.72 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงแตะระดับ 1.1024 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1223 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4321 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.4119 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.8183 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.7856 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 0.6628 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6570 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 0.7948 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7944 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
วิน ธิน นักยุทธศาสตร์การลงทุนด้านปริวรรตเงินตราจากบริษัท Brown Brothers Harriman ในกรุงนิวยอร์ก "ดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันอย่างหนักจากข่าวที่เฟดเข้าอุ้มกิจการ AIG เพราะสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า AIG ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะล้มละลายเช่นเดียวกับเลห์แมน บราเธอร์ส นักลงทุนกังวลว่าอาจมีสถาบันการเงินที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกในตลาดวอลล์สตรีท"
ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาดูข่าวที่ว่าเฟดได้ปล่อยวงเงินกู้ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับ AIG แลกเปลี่ยนกับการที่เฟดเข้าไปถือหุ้น 79.9% ใน AIG เพื่อช่วยให้ AIG มีความคล่องตัวทางการเงินจนสามารถดำเนินการตามภาระผูกพันเมื่อถึงเวลากำหนด และจะช่วยให้กระบวนการที่ AIG จะขายธุรกิจบางส่วนเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกจากนี้ ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของ 2 วาณิชธนกิจรายใหญ่ โดยโกลด์แมน แซคส์เปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ร่วงลง 71% เหลือเพียง 810 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.81 ดอลลาร์/หุ้น จากไตรมาส 3 ของปีที่แล้วที่ 2.81 พันล้านดอลลาร์ หรือ 6.13 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์รายงานว่า บริษัทมีรายได้ลดลง 3% แตะที่ระดับ 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.32 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในรอบ 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. จากระดับ 1.47 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.38 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เดวิด วิเนียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า แม้กำไรของโกลด์แมน แซคส์ ลดลงในไตรมาส 3 แต่ก็ถือว่ายังสามารถทำกำไรได้ และการที่โกลด์แมน แซคส์ สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนในยามที่เกิดวิกฤตสินเชื่อทั่วโลกได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าโกลด์แมน แซคส์ ไม่จำเป็นต้องรวมกิจการกับสถาบันการเงินใด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--