ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) คาดปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐส่งผลให้ความสามารถในการซื้อสินค้าของสหรัฐลดลงราว 20-30% ฉุดยอดส่งออกของไทยในปี 52 ลดลง 4% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท พร้อมเรียกร้องสายการเดินเรือชะลอเก็บค่าธรรมเนียมเอกสารเพิ่มกว่า 60%
"ปัญหาการเงินในสหรัฐจะทำให้ความสามารถในการซื้อสินค้าของสหรัฐอเมริกาลดลงประมาณ 20-30% เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวและเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า" นายสุชาติ จันทรานาคราช ประธาน สรท.กล่าว
อีกทั้งส่งผลต่อเนื่องกับการส่งออกของไทยในปี 52 ที่คาดว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงประมาณ 4% หรือคิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านบาท โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตของการส่งออกปี 52 จะไม่เกิน 15% ขยายตัวลดลงจากปี 51 ที่มีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 20% ส่วนจีดีพีของประเทศในปีนี้อยู่ที่ 4-4.5% ซึ่งถือว่าดีแล้ว แต่ปี 52 จีดีพีของประเทศน่าจะอยู่ที่ 3-3.5%
สำหรับสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ สินค้าที่ไม่จำเป็น ได้แก่ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ขณะที่สินค้าประเภท อาหารยังคงอัตราการเติบโตใกล้เคียงเดิม ซึ่งผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการส่งออก โดยเน้นตลาดรองหรือตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้มาก
นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศไทย โดยการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยได้จะช่วยให้การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนด้านต่างๆ เติบโตขึ้น
"รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ ภายใน 1 เดือน หลังจากนั้น 3 เดือนต้องเริ่มลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เห็นผลงานภายใน 6 เดือน และให้ใช้เวลาในช่วงนี้เปิดใจคุยกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งปรับเปลี่ยนไปจากเดิมที่เสนอระบบเลือกตั้ง 30 แต่งตั้ง 70 มาเป็นเลือกตั้ง 100% แต่มีรายละเอียดแตกต่างจากเดิมนั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ภาคเอกชนยอมรับได้" นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงกรณีที่สายการเดินเรือหลายแห่ง ได้แก่ CHENG LIE NAVIGATION, EVERGREEN SHIPPING AGENCY, NYK LINE, OOCL, REGIONAL CONTAINER LINES WAN HAI LINES ประกาศปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียมเอกสาร(DOCUMENT FEE) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีการเรียกเก็บในอัตรา 500 บาทต่อชุด เป็น 800 บาทต่อชุด หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นกว่า 60% โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่ง สรท.ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนให้กับผู้ส่งออก โดยคาดว่าผู้ส่งออกจะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้เพิ่มขึ้นถึงปีละประมาณ 1.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ สรท.ได้เรียกร้องให้สายการเดินเรือชะลอการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวออกไปก่อน หรือหากมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นก็ขอให้มีการปรับขึ้นในอัตราต่ำกว่านี้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะมีต่อผู้ส่งออกอย่างฉับพลัน และผู้ส่งออกรวมทั้งสายการเดินเรือควรจะมีการหารือร่วมกันในการเรียกเก็บค่าภาระเสริมเพิ่มหรือปรับขึ้นค่าภาระเสริมที่มีอยู่เดิม เพื่อให้การส่งออกของไทยเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้
โดยเบื้องต้น สรท.ได้หารือกับสายการเดินเรือแล้ว ซึ่งสายการเดินเรือรับปากจะทบทวนมาตรการดังกล่าว และจะยังไม่บังคับใช้อัตราใหม่ในระหว่างนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสายการเดินเรือยังมีแนวคิดที่จะปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมต่างๆ กับผู้ส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากแนวโน้มค่าระวางสินค้ามีทิศทางลดลง เนื่องจากปริมาณตู้สินค้าส่งออกมีน้อยกว่าระวางเรือ ซึ่งจะทำให้สายการเดินเรือมีรายได้ลดลง ดังนั้นจึงต้องการหารายได้เพิ่มจากการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมจากผู้ส่งออก
"ค่าระวางเรือที่ลดลงนั้นไม่ได้ส่งผลประโยชน์ต่อผู้ส่งออกเพราะค่าขนส่งเป็นภาระของลูกค้า แต่ค่าธรรมเนียมที่สายเรือเก็บนั้นจะเรียกเก็บจากผู้ส่งออก ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการส่งออกโดยตรง" นายสุชาติ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย คคฦ/ธนวัฏ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--