นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง ออกมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งในด้านพื้นที่เกษตรกรรม การประกอบอาชีพ และที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก
"กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่งจะกำกับดูแลให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปอย่างมีคุณภาพ เข้าถึงความต้องการของผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ" นายสุชาติ กล่าว
โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบภัยร้ายแรงซึ่งได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 50% ให้ขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัยออกไป 3 ปี และงดคิดดอกเบี้ย ตั้งแต่ปีบัญชี 2551-53 ส่วนเงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ปล่อยกู้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท และลดดอกเบี้ยจากอัตราปกติที่ธนาคารเรียกเก็บจากเกษตรกรลูกค้า 3% ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี พร้อมกำหนดชำระหนี้ตามความสามารถของลูกค้า และลดหย่อนหลักประกันการกู้เงิน สำหรับกรณีเกษตรกรลูกหนี้ที่เสียชีวิต ธ.ก.ส.จะตัดจำหน่ายจากบัญชี
ธนาคารออมสิน จะปล่อยกู้ให้ลูกค้าเดิมและไม่มีหนี้ค้างชำระในงวดปัจจุบันสำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะ สินเชื่อธุรกิจห้องแถว สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบท(สพช.) สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบทสำหรับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบทโครงการ SML สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัยของสมาชิกองค์กรชุมชน สินเชื่อธนาคารประชาชนแบบกลุ่ม และสินเชื่อเคหะเพื่อสมาชิก สพช. โดยปลอดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน กรณีมีผลกระทบรุนแรงให้ปลอดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี, ขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ไม่เกิน 6 เดือน กรณีมีผลกระทบรุนแรงให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ยกเว้นสินเชื่อเคหะ และลูกค้าสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 1% ต่อเดือนเป็น 0.50% ต่อเดือน
ส่วนประชาชนทั่วไปทั้งที่เป็นลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่จะปล่อยสินเชื่อรายย่อยเอนกประสงค์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น วงเงินกู้ไม่เกิน 5 พันบาท โดยใช้บุคคลค้ำประกัน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 1% ต่อเดือน เป็น 0.50% ต่อเดือน ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 18 เดือน และสินเชื่อบำรุงขวัญ เพื่อนำไปซ่อมแซมทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย(วงเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสม) โดยวงเงินกู้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท โดยใช้บุคคลค้ำประกัน และหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR-1.75% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณีลูกหนี้เดิมให้ลดภาระหนี้ที่ผ่อนชำระ ดังนี้ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 4-6 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 1% ต่อปี และผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เดือนที่ 7-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี, ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี
ส่วนที่กู้เพิ่มเพื่อต่อเติมซ่อมแซมอาคาร ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 4-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-3% ต่อปี, ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี
และกรณีกู้ใหม่ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 4-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี, ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) จะพักชำระหนี้เงินต้นและหรือเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไม่เกิน 12 เดือน ตามประเภทธุรกิจ และให้วงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการตามความเสียหายจริง แต่ไม่เกินรายละ 5 แสนบาท วงเงินรวม 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR ระยะเวลา 5 ปี Grace Period ไม่เกิน 1 ปี
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) ยังไม่พบลูกค้าได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ แต่เตรียมวงเงินหมุนเวียนไว้ 3 พันล้านบาท เพื่อให้ลูกค้ามีสภาพคล่องในการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยลดอัตราดอกเบี้ย 1% จากดอกเบี้ยที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันเป็นเวลา 6 เดือน และพิจารณาให้ลูกค้าปลอดชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ยังไม่พบลูกค้าได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ แต่หากลูกค้าเดิมต้องการความช่วยเหลือ ธนาคารจะพิจารณาลดจำนวนเงินผ่อนชำระในระยะแรก 1 ปี, ลดจำนวนเงินผ่อนชำระและขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ, ลดอัตรากำไรจาก 8-9% เหลือ 6% ในปีแรก และพิจารณาเป็นรายปีในปีต่อไป
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันสำหรับลูกค้าเดิมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.51-31 มี.ค.52 โดยลดค่าธรรมเนียมจากอัตรา 1.75% ต่อปี เหลืออัตรา 1% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วน 6 เดือนหลังและปีต่อไปเรียกเก็บในอัตรา 1.75% ต่อปี, มาตรการการให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกค้าได้รับค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย.ในการผ่อนปรนเรื่องการพักชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปตามปกติ,
มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพิ่ม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และจะขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ฟื้นฟูกิจการ โดยจะคิดค่าธรรมเนียม 6 เดือนแรกในอัตราพิเศษ 1% ต่อปี ของวงเงินค้ำประกัน สำหรับ 6 เดือนหลังและปีต่อไปเรียกเก็บในอัตรา 1.75% ต่อปีตามเดิม และกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท
และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้พักชำระหนี้ไม่เกิน 3 เดือน แก่ลูกค้าผู้ได้รับความเสียหายจริงจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้
--อินโฟเควสท์ โดย จารุวรรณ ไหมทอง/ธนวัฏ/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--