วิลเลียม โรด์ รองประธานซิตี้กรุ๊ป กล่าวแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม World Economic Forum ที่เมืองเทียนจิน ว่า วิกฤตการณ์ด้านการเงินในสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภคและลุกลามไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่จีน
"เรากำลังอยู่ในช่วงที่วิกฤติที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินครั้งใหญ่ หรือ Great Depression และเราอยู่ในช่วงเวลาที่นักลงทุนและผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด นับตั้งแต่เกิดปัญหาในตลาดซับไพรม์ จนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินขาดสภาพคล่องจนถึงขั้นล้มละลาย" โรด์กล่าว
รองประธานซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า "เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลงแตะระดับ 9-9.5% ขณะที่วิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐอาจบั่นทอนตัวเลขการอุปโภคบริษัทและฉุดรั้งเศณษฐกิจโลกให้ซบเซาลงด้วย แต่เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอาจเป็นผลดีกับจีน เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อนแรงเกินไป จนเป็นเหตุให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งรุนแรง เศรษฐกิจจีนควรขยายตัวอย่างยั่งยืนและค่อยเป็นค่อไป"
ก่อนหน้านี้ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ประกาศลดคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีพ.ศ.2552 ของจีน ลงสู่ระดับ 7.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.6% และคาดว่าเศรษฐกิจจีนที่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้จะยังลุกลามไปจนถึงปีหน้า ส่วนในปีพ.ศ.2553 สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตรา 7.1%
สตีเฟ่น กรีน หัวหน้านักวิเคราะห์ของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด กล่าวว่า "เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการควบคุมการผลิตที่เข้มงวดในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และเนื่องจากปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท โดยเฉพาะการผลิตเหล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวไปจนถึงปีหน้าและยังมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--