แบงก์ ตปท.คาดวิกฤติสหรัฐกระทบ GDP ไทยปี 51 โตแค่ 4.7%, ปีหน้าโต 3.9%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 2, 2008 16:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์(ไทย)เปิดเผยสรุปรายงานเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจไทยคงหนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินในสหรัฐ แม้ว่าจะมีผลไม่มากนักต่อภาคการเงินของไทยแต่คงมองข้ามความเสี่ยงไปไม่ได้ จึงคาดว่าครึ่งหลังปีนี้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยจะอยู่ที่ 3.8%ชะลอลงจากระดับ 5.7% ในปีครึ่งแรกปี และเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 4.7% ส่วนในปี 52 คาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 3.9%
สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้คือการชะลอตัวของการส่งออกที่ได้รับผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยคาดว่าการส่งออกไทยจะเติบโตเพียง 10% จาก 20% ในครึ่งปีแรก และจะชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 52 โดยเฉลี่ยทั้งปีน่าจะเติบโตที่ 8-9% แม้ผู้ส่งออกไทยจะมีการกระจายตลาดส่งออกไปยังหลายภูมิภาคนอกเหนือจากสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกของไทยก็ตาม แต่ตลาดจีน ฮ่องกง และภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีสัดส่วน 2 ใน 3 ต่างก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจะขยายตัวในอัตราชะลอลงเช่นกัน
“ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตัวจักรสำคัญที่ดันจีดีพีของไทยหลัก ๆ มาจากการส่งออก ดังนั้นหากการลงทุนในประเทศช่วงต่อไปโตต่ำเตี้ยเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้าเช่นเดียวกับ 2 ปีก่อนจากปัญหาความไม่สงบการเมืองในประเทศ ก็จะเห็นการฟื้นตัวการลงทุนและบริโภคมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ยาก ขณะที่การท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว"น.ส.อุสรา ระบุ
นายไท ฮุย หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะตกต่ำต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 52 ซึ่งจะทำให้การบริโภคลดลงเพื่อเพิ่มการออมในประเทศ ส่งผลต่อปริมาณการนำเข้าลดลงกระทบต่อการค้าโลก ส่งผลต่อการขยายตัวการส่งออกของภูมิภาคเอเชียอย่างชัดเจน
แม้เอเชียจะมีการกระจายการส่งออกไปหลายภูมิภาคก็ตาม แต่หากวิกฤติการเงินสหรัฐกระจายตัวไปกระทบเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งขณะนี้เริ่มเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวและคาดว่าการเติบโตจะลดลงมาอยู่ที่ 9% จาก 11%ในปีนี้ และปี 52 ที่ 7.9% ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการส่งออกของเอเชีย
“แม้จะมีรัฐบาลสหรัฐจะใช้เงินมากถึง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาซื้อสินทรัพย์ในประเทศเพื่อพยุงฐานะสถาบันการเงิน ซึ่งอาจจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูปัญหาทั้งหมดดังนั้นต้องมีมาตรการพิเศษออกมาช่วยเหลืออีกมาก" นายไท กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ