"โอฬาร"ยันรัฐบาลไม่พับโครงการรับจำนำข้าวนาปี แต่อาจปรับราคาให้เหมาะสม

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 6, 2008 13:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้นัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องสถานการณ์ข้าวและการรับจำนำ รวมถึงการบริหารจัดการข้าวในสต๊อก ซึ่งการประชุมวันนี้ยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีในฤดูการผลิตปี 51/52 อย่างแน่นอน โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้ 
ส่วนราคาที่รับจำนำนั้นอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด ซึ่งเรื่องนี้จะมีความชัดเจนหลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
"วันนี้ ท่านนายกฯ มีมติที่ให้ช่วยภาคเอกชนในการระบายข้าวจากสต๊อกปีก่อน รวมทั้งจาก ธ.ก.ส.ที่รับจำนำในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา...16 ต.ค.นี้ยืนยันรัฐบาลยังดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวนาปี...(ราคารับจำนำ)คงจะต้องพิจารณาในสภาพที่เปลี่ยนแปลง" นายโอฬาร กล่าว
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้มีการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีในฤดูการผลิต 51/52 กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 8 ล้านตัน โดยตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ 14,000 บาท/ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ 16,000 บาท/ตัน ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณถึง 1.2 แสนล้านบาท ขณะที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง มองว่าราคารับจำนำดังกล่าวไม่สอดคล้องกับตลาดที่ปรับตัวลดลงแล้ว
รองนายกรัฐมนตรี เห็นว่า ไทยไม่จำเป็นต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลคราวละมากๆ หรือเป็นล็อตใหญ่ เพราะขณะนี้มีผู้นำเข้าจากหลายประเทศแสดงความประสงค์ที่จะซื้อข้าวจากไทย ดังนั้นจะพิจารณาระบายข้าวตามคำสั่งซื้อที่มีเข้ามา
"เราไม่จำเป็นต้องระบายข้าวแบบ Grand Sales เพราะขณะนี้มีคนติดต่อต้องการซื้อมาก เราจะระบายเป็นจังหวะจะโคน" นายโอฬาร ระบุ
นายโอฬาร ยังให้ความมั่นใจด้วยว่าแม้สหรัฐฯ จะประสบปัญหาวิกฤติทางด้านการเงินและสภาพคล่อง แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะเข้าไปดูแลเรื่องการให้สินเชื่อเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในระบบโดยไม่ให้ส่งผลกระทบไปถึงเกษตรกร
ด้านนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมทีมงานตลอดจนภาคเอกชนผู้ส่งออกข้าวเพื่อเดินทางไปเจรจาเรื่องการซื้อขายข้าว อย่างไรก็ดีสำหรับหน่วยงานหลักที่จะเข้ามาดูแลรับผิดชอบโครงการรับจำนำข้าวนาปีจะกลับมาเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์หรือไม่นั้นคงต้องขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม กขช.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ