สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ระบุว่า S&P อาจจะปรับลดอันดับเครดิตของบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ลงสู่ระดับ "ขยะ (junk)" พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ของ GM ส่งผลให้ราคาหุ้น GM ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และยังฉุดราคาหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ร่วงลงแตระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 26 ปีที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ และข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งเหวกว่า 600 จุดด้วย
โรเบิร์ต ชุลซ์ นักวิเคราะห์ของ S&P กล่าวทางสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า "บริษัทรถยนต์เหล่านี้เลือกที่จะไม่ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลาย แต่ใช้วิธีการระดมทุนเพื่อหาสภาพคล่องเข้ามาพยุงธุรกิจ แต่เรามองว่าท้ายที่สุดแล้วบริษัทรถยนต์จะมาถึงจุดที่ต้องยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินตามกฏหมายล้มละลาย"
ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง GM และฟอร์ด เผชิญวิกฤตการณ์ด้านการเงินอย่างหนักหลังจากยอดขายรถยนต์ร่วงลง 27% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการร่วงรายเดือนที่หนักที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2534 เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อส่งผลให้กลุ่มผู้ซื้อรถยนต์เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น และก่อนหน้านี้ยอดขายรถยนต์ตกต่ำลงอย่างหนักหลังจากราคาน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวลงได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
S&P กล่าวในแถลงการณ์ว่า "แม้ GM และฟอร์ดมีสภาพคล่องที่เพียงพอในปีนี้ แต่สิ่งที่ค่ายรถยนต์ทั้งสองกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันอาจทำให้สถานการณ์สภาพคล่องเปลี่ยนแปลงไปในปีหน้า ด้วยเหตุนี้ S&P จึงประกาศ 'เครดิตพินิจ' ต่ออันดับความน่าเชื่อถือของฟอร์ด และทบทวนอันดับเครดิจของ GM และ GMAC LLC ซึ่งเป็นธุรกิจไฟแนนซ์ของ GM"
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า งบดุลบัญชีของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป, แบงค์ ออฟ อเมริกา และธนาคารรายอื่นๆในวอลล์สตรีท กำลังเผชิญกับภาวะสภาพคล่องถดถอย เนื่องจากบริษัทเอกชนหลายแห่งขอกู้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัท GM อีกทั้งมีรายงานว่า บริษัทผลิตรถยนต์ของจีน รวมถึงบริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของจีน และบริษัท เชอรี่ ออโตโมบิล ไม่ให้ความสนใจเข้าซื้อหุ้น GM และฟอร์ด สองบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่มีผลประกอบการย่ำแย่
ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ตลาดการเงินสหรัฐตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกเมื่อเมอร์ริล ลินช์ ระบุว่า GM จำเป็นต้องระดมทุนเป็นวงเงินสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีความเป็นไปได้ที่ GM จะล้มละลาย หากตลาดรถยนต์ของสหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่อง แต่ต่อมานักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกนได้ออกมาแสดงความเห็นสวนทางกับเมอร์ริล ลินช์ ว่า บริษัทรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าต้องยื่นเรื่องล้มละลายในอนาคตคือ ไครสเลอร์ ไม่ใช่ GM
นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐลงเหลือ 14.3 ล้านคันในปีนี้ จากระดับ 14.8 ล้านคัน และปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในปีหน้าลงเหลือ 14 ล้านคัน จากระดับ 15.3 ล้านคัน
GM เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของ GM ในประเทศจีนชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยโจเซฟ เหลา รองประธานจีเอ็ม ไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ของ GM มีการขยายตัวเพียง 14% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แตะระดับ 590,000 คัน เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการขยายตัว 19%
GM ซึ่งไม่สามารถทำกำไรรายปีได้เลยตั้งแต่ปี 2547 เนื่องจากอุปสงค์ในอเมริกาเหนือร่วงหนัก กำลังหวังพึ่งพายอดขายรถในจีนและอินเดีย แต่อัตราการแข่งขันในจีนกลับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังโฟล์คสวาเกน เอจี, โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป และผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นต่างเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาแย่งส่วนแบ่งในตลาด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--