ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองภาคอสังหาฯ ชะลอตัวหลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงใน-นอก ปท.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 10, 2008 17:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยง นอกจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐแล้ว ปัจจัยภายในประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่ยังคงต้องระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่ยังคงยืดเยื้ออยู่ในขณะนี้ รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แม้ว่าราคาน้ำมันที่ปรับลดลงจะลดแรงกดดันต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค
แม้ที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขัน เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเดียวกัน เช่น สิงคโปร์ และฮ่องกง และไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับตลาดท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
"แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ต่างชาติยังเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยอย่างต่อเนื่อง" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 51(ม.ค.-ก.ค.) เงินลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่ากว่า 33,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคิดเป็น 25.3% ของเงินลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยมาจากหลายประเทศ ทั้งกลุ่มทุนสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนโรงแรม รีสอร์ท อาคารสำนักงาน และโครงการคอนโดมิเนียมระดับบน เช่น กลุ่มทุนจากบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์(Lehman Brothers Holdings Inc), บริษัท อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (AIG), บริษัท Morgan Stanley และกลุ่มแมริออท
กลุ่มทุนสิงคโปร์ เป็นกลุ่มทุนที่เข้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยค่อนข้างมาก เป็นการเข้ามาร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เช่น กองทุนจากรัฐบาลสิงคโปร์( Government of Singapore Investment Corp หรือ GIC), บริษัท แคปปิตอล แลนด์ จำกัด ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่คือ รัฐบาลสิงคโปร์ ดำเนินธุรกิจด้านที่พักอาศัย โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหม่ที่มีความสนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับผู้ประกอบการไทย และยังมีกลุ่มทุนจากยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ที่เน้นการลงทุนในโรงแรม รีสอร์ท แถบพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเป็นหลัก
แต่ท่ามกลางปัญหาวิกฤติภาคการเงินในสหรัฐ และกำลังลุกลามไปยังสถาบันการเงินอีกหลายแห่งทั่วโลก ย่อมส่งผลกระทบถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการกู้ยืม หรือการลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติ แต่คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยอาจได้รับผลกระทบโดยตรงในขอบเขตที่จำกัด เนื่องจากผู้ประกอบการที่พึ่งพาแหล่งทุนจากสถาบันการเงินที่มีปัญหายังเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก และ การขายสินทรัพย์โดยกลุ่มนักลงทุนจากสหรัฐและยุโรป อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกลุ่มทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะการเข้ามาของกลุ่มทุนจากตะวันออกกลาง กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ ที่จะเข้ามาแทนที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่ออุปสงค์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านการลงทุนของต่างชาติที่อาจทำให้ธุรกิจชะลอตัว เช่น นิคมอุตสาหกรรม หรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ขณะที่การจัดหาแหล่งทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางส่วน โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการที่พึ่งพาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังสภาพคล่องของผู้ประกอบการในประเทศ และเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นในการระดมทุนเนื่องจากภาวะตลาดทุนไม่เอื้ออำนวย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ