นายวราวุธ ศิลปอาชา รมช.คมนาคม ให้นโยบายแก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) ว่า ต้องเป็นองค์กรหากำไรเข้าประเทศให้มากที่สุด โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพการขนถ่ายสินค้า เพราะ กทท.เป็น 1 ใน 10 รัฐวิสาหกิจที่สร้างรายได้ให้ประเทศ และเป็นหน่วยงานสนับสนุนการนำเข้าและส่งออก
โดยนอกเหนือจากการหารายได้ด้วยการให้บริการท่าเทียบเรือและการพัฒนาที่ดินแล้วควรมีการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อรองรับการท่องเที่ยว เช่น ท่าเรือเชียงแสน และต้องช่วยผลักดันให้มีการขนส่งทางน้ำเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 15-20% จากเดิมที่มีเพียง 11-12% เพื่อเป็นประโยชน์ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ และช่วยประหยัดพลังงาน
นายวราวุธ กล่าวถึงปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐว่า ในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการหากปัญหาลุกลามถึงไทย ซึ่งรัฐบาลจะได้หารือเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกและนำเข้าต่อไป ส่วนจะให้ กทท.ลดการจัดเก็บค่าใช้จ่ายกับผู้ส่งออกและนำเข้าหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ กกท.พิจารณาตามความเหมาะสม
ด้านนางสุนิดา สกุลรัตนะ ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ปัจจุบันค่าภาระที่ กทท.เรียกเก็บจากผู้ประกอบการมีอัตราต่ำมาก โดยเฉลี่ยต่ำกว่าท่าเรือสิงคโปร์เกือบ 50% และเป็นอัตราที่ใช้มานานกว่า 30 ปี นอกจากนี้ กทท.ได้ปรับลดค่าธรรมเนียมน้ำมันลงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการอยู่แล้ว
ส่วนผลการดำเนินงานของ กทท.ในปีงบประมาณ 51 นั้นมีกำไรประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 52 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 8-10% เนื่องจาก กทท.ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพงในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมันขึ้นลงตามราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลง