นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยว่า มาตรการอัดฉีดเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ระบบการธนาคารนั้นมีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดเงิน และปฏิเสธเรื่องที่ทางการบีบให้บรรดาผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ยอมรับเงินจำนวนนี้
"มาตรการต่างๆที่เราใช้ล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะสมทั้งสิ้น ซึ่งเรากำลังดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดเงินและกระตุ้นความเชื่อมั่นในระบบการธนาคารและตลาดทุน" พอลสันกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีเมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ พอลสันได้กล่าวถึงแผนการดังกล่าวที่มีบทบาทในการทำให้ภาคธุรกิจธนาคารในประเทศเข้ามาอยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาล แต่ทว่าความพยายามของสหรัฐยังอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลอังกฤษที่ทุ่มเงิน 5 หมื่นล้านปอนด์เพื่อซื้อหุ้นในธนาคาร และอัดฉีดเม็ดเงิน 2.50 แสนล้านเพื่อค้ำประกันเงินกู้ระหว่างธนาคารด้วยกัน รวมถึงวงเงิน 2 แสนล้านในการเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่สหรัฐทำมีความต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่อังกฤษกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกในเดือนก.ย.ปรับตัวลดลง 1.2% ซึ่งเป็นสถิติการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และร่วงลงยาวนานที่สุดในรอบ 16 ปี ซึ่งขุนคลังสหรัฐเอ่ยปากว่าเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจแต่เป็นการสร้างความผิดหวังให้เรามากกว่า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงหลังจากทางการเปิดเผยรายงานดังกล่าว ขณะเดียวกันหลายฝ่ายยังมีความวิตกกังวลว่าแผนฟื้นฟูตลาดเงินของนายพอลสันมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจะยังไม่มากพอที่จะสกัดกั้นมิให้เศรษฐกิจจมดิ่งลงสู่ภาวะถดถอยได้โดยเร็ว