กลุ่มบริษัทผู้ผลิตอาหารในอินโดนีเซียต่างได้รับอานิสงส์จากวิกฤตการเงินทั่วโลก เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารนั้นปรับตัวลดลง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาข้าวโพดดิ่งลง 52% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.9925 ดอลลาร์ต่อบุชเชล เช่นเดียวกับราคาถั่วเหลืองที่ร่วงลง 45% จากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 3 ก.ค. เนื่องจากวิกฤตสินเชื่อตึงตัวทั่วโลกส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินและกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวจนทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง
"เรายังไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะยาว" บูดิอาร์โต้ โซบิจันโต ประธานสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอาหารของอินโดนีเซียกล่าว "สิ่งที่เราวิตกกังวลคือ หากวิกฤตการเงินส่งผลกระทบต่อธนาคารและทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องแล้ว พวกเราจะเผชิญอุปสรรคในการขอเงินกู้เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจด้วยหรือไม่"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทุ่มเทความพยายามในการป้องกันวิกฤตการเงินทั่วโลกที่ลุกลามขยายวงกว้างจากสหรัฐและยุโรป โดยรัฐบาลจะอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ใช้เงินกู้เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และปรับลดสัดส่วนสำรองเงินทุน ตลอดจนผ่อนคลายข้อบังคับด้านการเงินเพื่อช่วยให้ประชาชนขอกู้เงินได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ นายโซบิจันโตกล่าวว่า วิกฤตสินเชื่อทั่วโลกจะไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการการบริโภคภายในประเทศ ตราบใดที่เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ ซึ่งเขาคาดว่าผลผลิตอาหารในประเทศจะไต่ขึ้นสู่ระดับ 8.5 ล้านตันในปีหน้า จากระดับ 8.1 ล้านตันในปีนี้ และเทียบกับที่ 7.6 ล้านตันเมื่อปี 2550 ขณะที่ยอดนำเข้าข้าวโพดในปีนี้จะลดลงอยู่ที่ระดับ 300,000 ตันจาก 650,000 ล้านตันในปี 2550