นายนิยม ไวยรัชพานิช ประธานคณะกรรมการการค้าชายแดน หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 ต.ค.จะมีการประชุมประธานหอการค้าจังหวัดชายแดน 5 จังหวัด คือ ตราด, ศรีสะเกษ, จันทบุรี, สระแก้ว และสุรินทร์ เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านการค้าและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา
เนื่องจากขณะนี้มีผลผลิตทางการเกษตรในโครงการคอนแทคฟาร์มมิ่ง 1 ล้านตัน ที่ไม่สามารถนำออกจากกัมพูชามาไทยได้ รวมทั้งทรัพย์สินของนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาที่ขณะนี้มีถึง 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี จากการพูดคุยกับนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ทั้งธุรกิจโรงแรม, ร้านอาหาร, โทรคมนาคม, การบิน, การเกษตร พบว่าขณะนี้ต่างกำลังรอดูสถานการณ์การปะทะของทหารไทยกับกัมพูชาอยู่ หากมีความรุนแรงก็พร้อมอพยพออกจากกัมพูชาทันที
นายนิยม มองว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาลดลง 7,000-10,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าปี 51 มูลค่าการค้าชายแดนจะเพิ่ม 20% จาก 48,000 ล้านบาท เป็น 60,000 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะมูลค่าการค้าจะเหลือ 50,000-54,000 ล้านบาท หรือโตเพียง 4-5% เท่านั้น
"จุดที่น่าเป็นห่วง คือการท่องเที่ยวบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร นครวัด นครธม ซึ่งแต่ละปีจะขยายตัวเกิน 20% เพราะเป็นทางผ่านแดนสำคัญของการท่องเที่ยว อีกทั้งเกรงว่าอาจกระทบต่อยุทธศาสตร์ความร่วมมือพัฒนาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการเจ้าพระยา-อิรวดีและแม่โขง รวมถึงการลงทุนคอนแทคฟาร์มมิ่งอีก 50,000 ไร่ จากกลุ่มมิตรผล และกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งเชื่อว่าท้ายที่สุดน่าจะเจรจากันได้ เพราะหากยืดเยื้อกัมพูชาจะเสียหายมากกว่าไทย" นายนิยม กล่าว