ผลสำรวจชี้ CEO ส่วนใหญ่ในสหรัฐคาดเศรษฐกิจปี 51 โตแค่ 2% ขณะภาคธุรกิจยังขาดความเชื่อมั่น

ข่าวต่างประเทศ Friday October 17, 2008 09:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ในสหรัฐ ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างการประชุมสภาธุรกิจที่รัฐเซาท์ แคโรไลนา บ่งชี้ว่า ซีอีโอส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 2% ในปี 2551 ซึ่งนับเป็นขวบปีที่ 2 ที่เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำ

ซีอีโอที่ให้ความร่วมมือในการสำรวจครั้งนี้ ครอบคลุมถึงซีอีโอจาก 500 บริษัทชั้นนำจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูน ได้แก่ บริษัทโบอิ้ง พร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิ้ล และเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม)

ทั้งนี้ ซีอีโอที่มองว่าความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจถดถอยลงมากมีอยู่กว่า 90% เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อ 6 เดือนที่แล้วที่ 87% โดยซีอีโอเหล่านี้พิจารณาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อ ราคาพลังงาน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค เป็นเกณฑ์ในการแสดงความเห็น

ซีอีโอบริษัทโบอิ้งกล่าวว่า "ผู้บริหารในแวดวงธุรกิจขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้"

ขณะที่นายจิม โอเวนส์ ซีอีโอบริษัทคาเทอร์พิลลาร์ กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย และคาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะชะลอตัวลงในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า นอกจากนี้ ผมคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นมีแนวโน้มถดถอยเช่นนี้ แต่เชื่อว่าประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้"

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ซีอีโอจำนวนมากมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยดัชนีความเชื่อมั่นของซีอีโอในสหรัฐเพิ่มขึ้นแตะระดับ 32.1 จุด จากเดือนก.พ.ที่ระดับ 31.1 จุด

นายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญความยากลำบาก แต่เขาเชื่อว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจยังเป็นบวก ทั้งนี้ ซีอีโอที่มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มทรุดตัวลงอีกมีอยู่เพียง 61% ลดลงจากผลสำรวจเดือนก.พ.ที่ 82%

เมื่อถูกถามว่าพวกเขาใช้เกณฑ์อะไรในการลงคะแนนให้กับประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ซีอีโอส่วนใหญ่กล่าวว่า พวกเขาพิจารณาเรื่องนโยบายภาษี พลังงาน และเศรษฐกิจ แต่มีซีอีโอส่วนน้อยเท่านั้นที่พิจารณาเรื่องนโยบายสวัสดิการสังคม สวัสดิการด้านสุขภาพ และการปฏิรูปกฎหมาย สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ