รมว.คลังสหรัฐยกจีนเป็น'กลไกสำคัญ'ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกขยายตัวในยามวิกฤต

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 22, 2008 14:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐ เรียกร้องประเทศทั่วโลกให้ร่วมมือกันเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน พร้อมกับยกย่องจีนว่าเป็น "แรงขับเคลื่อนที่สำคัญ" ที่ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อไปได้ในยามยากลำบาก

"รัฐบาลทั่วโลกจะต้องร่วมมือกันรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงินด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องให้มากเท่าที่จำเป็น อีกทั้งต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินด้วยการจัดหาเงินทุน และแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อปกป้องตลาดให้เคลื่อนไหวไปตามกลไกที่ถูกต้อง และคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน" พอลสันกล่าว

ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของพอลสันมีขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางในประเทศอื่นๆพร้อมใจกันปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์สินเชื่อที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้ถดถอยลง และหลังจากนั้นเพียง 2 วัน พอลสันและกลุ่มประเทศ G7 ประกาศใช้มาตรการต้านวิกฤตการเงินทั่วโลก และพร้อมที่จะดำเนินการทุกด้านเพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหา ซึ่งครอบคลุมถึงการใช้เครื่องมือทั้งหมดที่สามารถหามาได้ เพื่อสนับสนุนสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในเชิงระบบ และป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินเหล่านี้ล้มละลาย

"การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและการสื่อสารที่ชัดเจนของรัฐบาลทั่วโลกจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะหากประเทศหนึ่งประเทศใดดำเนินการเพียงลำพังจะไม่สามารถสร้างเสถียรภาพในระบบได้ทั้งหมด ถึงเวลาแล้วที่ทั่วโลกจะต้องร่วมมือกันเพราะวิกฤตการณ์ในตลาดการเงินเริ่มลุกลามจากสหรัฐไปยังประเทศอื่นๆแล้ว" พอลสันกล่าว

ทั้งนี้ พอลสันกล่าวยกย่องจีนว่าเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจโลก และพอใจที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นกว่า 20% ตั้งแต่เดือนก.ค.ปีพ.ศ.2548 และกล่าวว่าสหรัฐจะประสานความสัมพันธ์กับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะมีการเจรจาสื่อสารให้ชัดเจนขึ้นเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

นอกจากนี้ พอลสันขานรับนายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีนที่ยื่นมือเข้ามามีบทบาทสำคัญในช่วงที่ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกเผชิญความยากลำบาก โดยเขากล่าวว่า "ตลาดการเงินของจีนก็ตกอยู่ในภาวะตึงตัวเช่นกัน แต่รากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนทำให้จีนกลายเป็นกลไกสำคัฐที่ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อไปได้" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ