กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปค ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เสี่ยงที่จะต้องแตกวงเสียแล้ว เนื่องจากแผนการลดผลผลิตน้ำมันและขึ้นราคาน้ำมันของโอเปค ขณะที่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ปี 2526
นายโกลัม ฮอสเซน โนซารี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านอาจจะลดโควต้าการผลิตลง 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 8.7% ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันที่คูเวตผลิตได้ ทางด้านนายชากิบ เคลิล ประธานโอเปคและรัฐมนตรีของอัลจีเรีย กล่าวเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ว่า อาจจะลดผลผลิตลงเพียง 1 ล้านบาร์เรล
การถกเถียงกันเรื่องการลดปริมาณการผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปคนี้ ทำให้สมาชิกในกลุ่มเสียงแตกกัน โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของกลุ่มและยังเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ สวนทางกับเวเนซูเอล่าและอิหร่านที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ และมีจุดยืนในการสนับสนุนให้ขึ้นราคาน้ำมัน
เมื่อวานนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ร่วงลง 52% แตะ 70.89 ดอลลาร์ จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ 147.27 ดอลลาร์
บลูมเบิร์กรายงานว่า แกเรท ลูอิส-เดวีส์ นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันของเดรสด์เนอร์ ไคลน์เวิร์ท กรุ๊ป กล่าวว่า สมาชิกในกลุ่มโอเปคมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันมากขึ้น เนื่องจากแต่ละประเทศต่างมีความต้องการที่แตกต่างกันไป โดยซาอุดิอาระเบียกำลังเล่นเกมการเมืองระยะยาว ส่วนประเทศอื่นๆก็มีต้นทุนที่สูงขึ้น
เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค ประเมินว่า ซาอุดิอาระเบียต้องการให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพื่อให้งบประมาณของรัฐบาลอยู่ในภาวะที่สมดุล ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องการให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนกาตาร์ต้องการให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เอ็ดเวิร์ด มอร์ส กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของหลุยส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า อิหร่าน ซึ่งมีประชากรมากกว่าซาอุฯ 2 เท่านั้น มีจุดคุ้มทุนที่ระดับราคา 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเวเนซูเอล่านั้น รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีฮิวโก้ ชาเวซ ก็ได้นำรายได้จากน้ำมันไปกับโครงการด้านสังคม และมีตัวเลขคุ้มทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล