นางอรรชกา บริมเบิล สีบุญเรือง เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะอุนกรรมการบีโอไอจะมีการพิจารณากรอบการส่งเสริมการลงทุนในปีหน้า และอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนอีกประมาณ 50 โครงการ จากทั้งหมดที่เหลืออยู่ 383 โครงการ คิดเป็นมูลค่าที่เหลืออยู่ 2.4 แสนล้านบาท จากภาพรวมที่ขอมาทั้งหมด 433 โครงการ มูลค่า 2.7 แสนล้านบาท คาดว่าจะสามารถพิจารณาทั้งหมดได้ภายในปีนี้
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอชุดใหญ่ในวันที่ 5 พฤศจิกายน จะพิจารณาอุนมัติอีก 10 โครงการ อีกด้วย
นางอรรชกา กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการฯ จะมีการพิจารณากรอบการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับนักลงทุนที่ยื่นการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 52 โดยจะออกเป็นแพ็คเกจเพื่อดึงดูดการลงทุนแบบครบวงจรและเพิ่มสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุนให้มากกว่าปัจจุบัน ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวกับการลงทุน
พร้อมทั้ง จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนการให้แพ็คเกจส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนน้อย ก็ต้องการเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีการวิจัยและพัฒนา และยังให้คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ไปทำแผนเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็น เอสเอ็มอี นอกจากนี้ บีโอไอ จะหารือกับสถาบันการเงิน เพื่อให้เงินทุนสนับสนุนโครงการของเอสเอ็มอี ให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องของการปรับปรุงสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน
ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาท โดยมี 30 โครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแล้วแต่ยังไม่ออกบัตรส่งเสริมการลงทุน และมีอีก 30 โครงการที่ยังไม่ได้ลงทุน ก็จะเข้าไปดูว่าติดปัญหาในเรื่องใด ซึ่งคาดว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการหาเงินทุน หรือติดกฎระเบียบในการดำเนินงานก็จะเข้าไปแก้ไขให้ลงทุนได้
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมต่างๆในปีนี้และปีหน้า พบว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ทะลุเป้าหมายที่ 70,000 ล้านบาทแล้ว สำหรับใน 1-2 ปีข้างหน้า อาจจะมีการชะลอตัวลงในโครงการใหญ่ๆ เนื่องจากการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะลงทุนเป็นไซเคิล เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมามีการยื่นโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ดังนั้นในช่วงนี้จึงยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่มากนัก แต่อย่างไรก็ตามยังมีโครงการลงทุนสำหรับปิโตรเคมีเกรดพิเศษที่เป็น Specialty ซึ่งจะมีผลดีต่อการลงทุนในภาพรวม เรื่องจากจะเป็นการพัฒนาปิโตรเคมีให้ดีขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร ในปีนี้ยังส่งออกได้ดี แต่ในปีหน้าเป็นห่วงเรื่องมูลค่าการส่งออกอาจจะลดลงเนื่องจากราคาในตลาดโลกลดลง แต่ก็ไม่น่าห่วงสำหรับอุตสาหรรมนี้ สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ รถยนต์นั่งขายตลาดในประเทศได้ดี แต่รถกะบะปิคอัพเครื่องยนต์ดีเซลขายไม่ค่อยดีในช่วงที่ราคาน้ำมันดีเซลสูงมาก แต่การส่งออกยังดี ซึ่งในปีหน้าก็ต้องรอดูในเรื่องการส่งออกหากมีการส่งออกไปตลาดสหรัฐก็อาจจะถูกกระทบให้การส่งออกลดลง
ด้านอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งทอ การส่งออกอาจจะถูกกระทบได้มาก เนื่องจากมีการส่งออกไปตลาดสหรัฐมากถึง 50% ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกไปตลาดอื่นๆยังดี แต่การส่งออกไปตลาดสหรัฐมีการชะลอตัวบ้าง นางอรรชกา กล่าวว่า นโยบายที่บีโอไอจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งนี้ลงทุนใหม่และนักลงทุนเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยจะเร่งการอนุมัติโครงการให้เร็วขึ้นและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการลงทุนทั้งทางด้านกฎหมาย ซึ่งจากการที่ได้หารือกับนักลงทุนพบว่าส่วนใหญ่ยังคมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทยต่อไป และเห็นว่าปัญหาการเมืองไม่ได้มรีผลต่อความเชื่อมั่นมากนัก แต่ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงสถานการณ์ในปีหน้า เนื่องจากกังวลว่าปัญหาเศรษฐกิตสหรัฐจะขยายตัวในวงกว้างและกระทบต่อการส่งออก จึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ก็จะเร่งส่งเสริม โครงการเหล็กต้นน้ำ โครงการอีโคคาร์ และอุตสาหกรรมชิ้ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในประเทศ