นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง อนุมัติการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงก์)กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) โดยผลของการควบรวมกิจการจะทำให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ปล่อยสินเชื่อแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีได้ 30,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องขอเพิ่มทุนจากคลังอีก
และการควบรวมกิจการครั้งนี้ มีเป้าหมายไม่สร้างภาระต่อเงินงบประมาณอีก หลังจากที่ผ่านมารัฐบาลต้องให้เงินงบประมาณอุดหนุนในการเพิ่มทุนมาแล้วตั้งแต่การก่อตั้งกว่า 10,000 ล้านบาทจากผลของการปฏิบัติงานและการบริหารงานที่ผิดพลาด ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จะเสนอครม.วันพรุ่งนี้ พิจารณาแก้ไขข้อกฎหมายเพื่อเอื้อต่อการควบรวมกิจการ
"ผมต้องการให้สถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง หยุดการใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท และหากคลังต้องเพิ่มทุนให้ต่อไป คงจะไม่มีประโยชน์ต่อเอสเอ็มอี และไม่สามารถแก้ปัญหาบริหารการจัดการที่มีอยุ่ให้หมดไปได้"นายประดิษฐ์ กล่าว
หลังการควบรวมกิจการ จะทำให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ มีสินทรัพย์รวม 54,846 ล้านบาท หนี้สินรวม 45,974 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น 8,871 ล้านบาท มีเงินกองทุน 8,524 ล้านบาท กองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS)สัดส่วน 13.31% ซึ่งจะสามารถขยายสินเชื่อและออกหนังสือค้ำประกันเงินกู้ 30,000 ล้านบาทได้โดยไม่ต้องขอเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลัง หลังครม.เห็นชอบแผนการควบรวมกิจการแล้ว จะดำเนินการตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
และวันนี้ เอสเอ็มอีแบงก์ ได้เปิดโครงการ เอสเอ็มอี พาวเวอร์ สนับสนุนทางการเงิน และเทคโนโลยีแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และบริการเงินร่วมลงทุน เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขัน ผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการเอสเอ็มอีพาวเวอร์ 11 พ.ย.-31 ธ.ค.51