นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายอาจต้องเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.5% ในที่ประชุมวันพุธนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น หลังจากที่การปรับลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.5% เมื่อวันที่ 8 ต.ค.นั้นไม่สามารถเยียวยาภาวะล่มสลายในตลาดเงินให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้
ไลล์ แกรมลีย์ อดีตผู้ว่าการเฟดซึ่งผันตัวเองมาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับบริษัทสแตนฟอร์ด กรุ๊ปกล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเลวร้ายลงเรื่อยๆ และในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐอาจหดตัวลงกว่า 2% ซึ่งจะเป็นสถิติการดิ่งร่วงลงหนักสุดในรอบ 18 ปี โดยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง 11 ท่านที่มองว่าเศรษฐกิจจะยิ่งเลวร้ายและหดตัวลง 2.2% ต่อปีในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องจากที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง 0.5% ในไตรมาสที่ 3
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้อัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นของเฟดที่เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2547 และเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
ด้านนายวินเซนต์ เรนฮาร์ท อดีตหัวหน้าฝ่ายกิจการการเงินของเฟดมองว่า นายเบอร์นันเก้ กำลังเผชิญบททดสอบทางการเงินครั้งสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตสินเชื่อและวิกฤตการเงินที่กำลังกลืนกินระบบเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายที่สำคัญ 3 ประการคือ การปรับลดดอกเบี้ย การเสริมสร้างสภาพคล่อง และการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ไม่เป็นที่ต้องการของธนาคารและนักลงทุน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เบอร์นันเก้ได้สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นภาคการเงินครั้งใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการใช้นโยบายคืนเงินภาษีมูลค่าเกือบ 1.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภคได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น