นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์น แคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิสเปิดเผยว่า ภาวะราคาบ้านตกต่ำจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐมากกว่าวิกฤตมูลค่าในตลาดหุ้นทรุดตัวลง
ผลการศึกษาระบุว่า ราคาบ้านที่ร่วงลง 10% มีมูลค่าเทียบเท่ากับเม็ดเงินจำนวน 1.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 1.2% ของตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคล ซึ่งการใช้จ่ายผู้บริโภคมีสัดส่วน 70% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดังนั้นราคาบ้านที่ตกลงจะฉุดรั้งอัตราการขยายตัวของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลง 1%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาบ้านมือสองของสหรัฐปรับตัวลดลง 9% แตะที่ 191,600 ดอลลาร์ในเดือนก.ย.จากปีก่อนหน้านี้และปรับตัวลดลง 17% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 230,200 ดอลลาร์ในเดือนก.ค.2549
ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า ราคาบ้านจะปรับตัวลดลงอีกก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาใหม่ และแม้ว่าตลาดหุ้นจะดีดตัวขึ้นมาได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบจากราคาบ้านที่ร่วงลงยังคงมีอิทธิพลบดบังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะรายงานตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 3 ที่หดตัวลง 0.5% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2544 ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคอาจร่วงลงหนักสุดในรอบเกือบ 20 ปีหลังตัวเลขจ้างงานพุ่งสูงขึ้น ขณะที่มูลค่าหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง