นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง กล่าวว่า เตรียมเสนอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายกลางปี 2552 อีกราว 1 แสนล้านบาท หรือขยายกรอบการขาดดุลงบประมาณเป็นไม่เกิน 3.5% ต่อจีดีพี จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 2.5% ต่อจีดีพี เพื่อนำเม็ดเงินไปใช้กระตุ้นภาวะเศรษฐกิจและดูแลผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการสร้างโอกาสและสร้างงานให้กับประชาชน หลังจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจะเกิดปัญหาการว่างงานมากขึ้น
รมว.คลัง ยืนยันว่าการขาดดุลงบประมาณปี 52 ที่จะเพิ่มขึ้นในจำนวนดังกล่าว จะยังไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งรัฐบาล พยายามจะใช้นโยบายการคลังเข้ามาดูแลเศรษฐกิจ และการเพิ่มงบกลางปี 52 จะช่วยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบทวีคูณเป็น 3 เท่าจากเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท ภายในเวลา 1 ปีครึ่ง ช่วยให้ประชาชนมีเงินรายได้ไว้จับจ่ายใช้สอยและทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ชนบท
"เรื่องนี้ได้มีการหารือกับท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว รวมถึง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด เพราะตอนนี้เป็นห่วงกลัวคนจะตกงานกันมาก ดังนั้นจะพยายามเข้ามาดูแลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะมองว่าการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ของจีดีพี ที่ถูกมองว่าเกินกรอบวินัยการคลัง แต่บางครั้งก็ต้องดูนอกกรอบกันบ้าง และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหา" นายสุชาติ ระบุ
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้หารือกันถึงการเตรียมการจัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในโครงการที่ต้องการความรวดเร็วในการอนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะช่วยให้การใส่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้เร็วมากขึ้น เนื่องจากพบว่าในปีงบประมาณ 51 มีปัญหาการเบิกจ่ายงบล่าช้าจนต่ำกว่าเป้าหมาย โดยมีการขาดดุลฯ เพียง 7-8 หมื่นล้านบาทเท่านั้นจากจำนวนงบประมาณขาดดุลที่ตั้งไว้ถึง 2 แสนล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในปี 52 การส่งออกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินจากต่างประเทศ ทำให้มีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเสริมเข้าไป
ขณะที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวว่า จะวางแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการติดตามประเมินผลทุก 7 วัน ซึ่งหากส่วนราชการใดมีประวัติการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าต่อเนื่องกัน 3 ปีจะมีผลต่อการขออนุมัติงบประมาณในอนาคตด้วย
สำหรับการพิจารณาเพิ่มงบประมาณกลางปีอีก 1 แสนล้านบาทมีสัดส่วนไม่มากนักในปีงบประมาณ 52 ที่มีอยู่จำนวน 1.8 ล้านล้านบาท แต่จะช่วยให้อัดฉีดงบประมาณลงไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น