ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) 0.50% สู่ระดับ 1.00% และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) 0.50% สู่ระดับ 1.25% โดยมีเป้าหมายสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยและป้องกันไม่ให้วิกฤติสินเชื่อลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในวงกว้างกว่านี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีกหากจำเป็น
อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งกู้ยืมโดยตรงจากเฟด ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากการกู้ยืมระหว่างกัน
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 9 ครั้งในระยะเวลา 13 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยืนอยู่ที่ระดับ 5.25% โดยมีเป้าหมายที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่มีจุดเริ่มต้นจากปัญหาในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐและได้ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก
เฟดได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า "เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคลดลงด้วย ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายในภาคธุรกิจและภาคการผลิตปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เศรษฐกิจในประเทศอื่นๆที่ชะลอตัวลงยังส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกของสหรัฐด้วย"
"เฟดประเมินว่าภาวะผันผวนในตลาดการเงินอาจส่งผลให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค ภาคครัวเรือน และภาคเอกชนหดตัวลงอีก อย่างไรก็ตาม เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะขยายตัวในระดับปานกลางในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง"
"เมื่อประเมินสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตแล้ว คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) จึงมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.50% เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยและเพื่อสกัดกั้นวิกฤตการณ์ด้านการเงินไม่ให้ลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายในภาคส่วนอื่นๆมากไปกว่านี้ นอกจากนี้ เฟดเชื่อว่าการที่เฟดร่วมมือกับธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ จะช่วยเสริมสร้างระบบการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้" แถลงการณ์ของเฟดระบุ
นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดกล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเสี่ยงที่จะเผชิญช่วงขาลง ซึ่งเฟดจะต้องติดตามความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากจำเป็น" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน