นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวผ่านรายการ รัฐบาลพบประชาชน เกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยรัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนที่ฐานรากของประเทศเป็นหลัก ด้วยการให้ทุนต่างๆ ในการประกอบกิจการ และจัดการชำระหนี้ให้เกษตรกร รวมถึงส่งเสริมการประกอบอาชีพ
ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการ 3 โครงการใหญ่ ประกอบด้วย กองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล และสินค้าโอท็อป ด้านกองทุนหมู่บ้านใช้วงเงิน 1 แสน 3 หมื่นล้านบาท ในการดำเนินการ
ส่วนสินค้าโอท็อปนั้น จะมีการฟื้นฟูโครงการโอทอปอีกครั้งหลังจากถดถอยไป ซึ่งกลางเดือน พ.ย. ศาลาโอทอปจะกลับมาอีกครั้ง ในช่วงปลายปีก่อนปีใหม่จะมีงานโอทอปซิตี้ โดยผลิตภัณฑ์ใดมีคุณภาพดีให้ติดต่อพัฒนาชุมชนเพื่อจัดสถานที่ช่องทางจำหน่ายให้
นอกจากนี้จะส่งเสริมปรับปรุงคุณภาพ นำสินค้าขึ้นสู่ห้างสรรพสินค้า ติดต่อบริษัทค้าระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่าย ทั้งหมดเนี้ใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้วเพื่อเป้าหมายทำให้ประชาชนมีฐานะดีขึ้น สำหรับงบประมาณใหม่นั้นจะดูว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนในชนบทมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รายจ่ายลดลง
ทั้งนี้งบประมาณ 1 แสนล้านบาทที่ตั้งไว้นั้นมีเป้าหมายคือการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทษมีฐานะดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เปิดโครงการรับจำนำข้าว ใช้งบประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท พร้อมเริ่มรับจำนำข้าวโพดกิโลกรัมละ 8.50 บาท และมันสำปะหลัง ทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณกว่าแสนล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลระบบเศรษฐกิจฐานรากที่จะใช้วิธีการรับจำนำและระบายสต๊อกออกไป
นอกจากนี้ทางกระทรวงยังมีมาตรการรองรับวิกฤตทางการเงิน ด้วยการจัดระบบสภาพคล่องภายในประเทศ ทั้งการขยายระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไป 3 ปี
สำหรับโครงการเมกะโปรเจคต์ต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีม่วง และสายสีน้ำเงิน หลังจากที่นายกฯได้ประชุมไปเมื่อ 2 วันที่ผ่านมานั้น ในวันที่ 5 พ.ย. จะมีการประชุมอีกครั้ง โดยจะเป็นการฟื้นฟูการลงทุนในระบบบริการพื้นฐานของประเทศ หลังจากชะงักมา 2 ปี ใช้งบประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่ทั้งนี้ประสบปัญหาการตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นทำให้การทำงานล่าช้า หรือคนทำงานไม่กล้าจะลงมือ โดยอยากให้ทุกคนมองว่าทุกคนเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันไม่ใช่การจับผิด ก็จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ หากจะเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน 50 ปีให้หลังกับปัจจุบันที่เขาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้ทุกคนกลับมาช่วยกันดูแลประเทศ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว เช่นตัวเลขการส่งออกหายไป 1 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็ต้องเติมเงินเข้ามา 3 แสนล้าน จึงอยากให้ทุกคนหันกลับมาช่วยกัน
ทั้งนี้รู้สึกเป็นห่วงต่อสถานการณ์การท่องเที่ยวที่หลายประเทศประกาศให้ไทยมีข้อจำกัด เช่น จีน ญีปุ่น ส่งผลให้ตัวเลขการท่องเที่ยวลดลงจำนวนมาก ซึ่งทางรัฐบาลต้องประสานงานระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรีเพื่อทำความเข้าใจระหว่างกัน
สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งทุกวันนี้จมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เรามองว่าวิกฤตเริ่มหนักขึ้น โดยมองว่าการพัฒนาประเทศขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันระบบตัวแทนก็ดีกว่าเมื่อ 70 ปีก่อนมาก อนาคตก็ต้องมีการพัฒนาไปแบบสหรัฐอเมริกา คือประชาชนจะนำเงินไปสนับสนุนตัวแทนที่เลือกเข้ามา