การเจรจาควบรวมกิจการระหว่างบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และบริษัท ไครสเลอร์ แอลแอลซี อาจดำเนินไปอย่างเข้มข้นมากขึ้นในสัปดาห์นี้ เพราะทั้งสองบริษัทกำลังจับตาดูว่ารัฐบาลสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อผลักดันให้การทำข้อตกลงเสร็จสมบูรณ์
อิเตย์ มิเชลี นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ป โกลบอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า บริษัท เซอร์เบรัส แคปิตอล เมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของไครสเลอร์สนับสนุนให้ทั้งสองบริษัทควบรวมกิจการกัน และการเจรจาต่อรองของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐยังคงดำเนินไป อย่างไรก็ตาม ทั้งจีเอ็มและไครสเลอร์ซึ่งถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและยอดขายรถยนต์ที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี ไม่คาดหวังว่าการให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์จะคืบหน้าจนกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะผ่านพ้นไป ทั้งนี้ จีเอ็มและไครสเลอร์มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มอีก 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
"ปัญหาด้านการเงินและความขัดแย้งระหว่างบริษัทและกลุ่มสหภาพ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จีเอ็มและไครสเลอร์ต้องเร่งควบรวมกิจการกัน โดยสหภาพแรงงานรถยนต์แห่งสหรัฐ ได้ว่าจ้างนายสตีเฟ่น เกอร์สกี้ ที่ปรึกษาของจีเอ็มและนักวิเคราะห์ด้านรถยนต์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ให้ช่วยเหลือสหภาพในการเจรจากับจีเอ็ม" มิเชลีกล่าว
ก่อนหน้านี้ ริค วาโกเนอร์ ซีอีโอจีเอ็มเรียกร้องรัฐบาลสหรัฐให้อนุมัติงบช่วยเหลือเพื่อควบรวมกิจการกับไครส์เลอร์ ภายใต้การดูแลของเซอร์เบรัส แคปิตอล เมเนจเมนท์
มูดิ้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีเอ็ม และ ไครสเลอร์ แอลแอลซี หลังจากยอดขายรถของทั้งสองบริษัทตกลงอย่างมาก ซึ่งการหั่นอันดับเครดิตในครั้งนี้จะส่งผลให้ความน่าลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่าน่าลงทุน หรือ "ขยะ" (junk) มูดี้ส์ได้คาดการณ์ว่า กระแสเงินสดไหลออกของสองบริษัท ซึ่งเกิดจากรายได้ที่ดิ่งลงและค่าใช้จ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องนั้น จะทำให้เงินสดของบริษัทร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ พร้อมระบุด้วยว่าจีเอ็มและไครสเลอร์จะยังคงประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจไปจนถึงปีหน้า สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน